สิ่งที่มีจริง คือสิ่งที่ปรากฏ ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกิด จะไม่ปรากฏเลย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจธรรมตามลำดับว่า สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ และที่จะเกิดก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้ ต้องทราบว่าความจริงแท้ที่เป็นปรมัตถธรรมมี ๔ อย่าง คำว่า “ปรมัตถธรรม” มาจากคำว่า ปรม + อัตถ ลักษณะอัตถของสิ่งนั้นเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ สภาพธรรมที่มีจริงในโลก นอกโลก ในจักรวาลทั้งหมด จะพ้นไปจากจิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑ และปรมัตถธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือ นิพพานแต่นิพพานไม่เกิด ตรงกันข้ามกับ จิต เจตสิก รูป
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้แก่นของธรรม คือตัวธรรมจริงๆ ว่าเป็นสภาพที่มีจริง ใครๆ ก็เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ จึงเป็นอภิธรรมเป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมที่ทรงแสดงไว้ ที่ประมวลไว้เป็นอภิธรรมปิฎก หมายความว่า กล่าวถึงสภาพธรรมล้วนๆ ซึ่งมีลักษณะจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้ เช่น แข็ง เวลาที่มีการกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ลักษณะแข็งปรากฏ ถ้าลักษณะนั้นแข็งจะเปลี่ยนแข็งให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเวลากระทบแล้วเย็น ก็ไม่มีใครที่สามารถจะเปลี่ยนลักษณะที่เย็นให้เป็นแข็ง หรือว่าให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
นี่แสดงว่า สภาพธรรม ธรรมเป็นธาตุ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย แล้วก็สภาพธรรม ๓ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ แต่ใน ๓ อย่างนี้ ก็แบ่งออกเป็นนามธรรมกับรูปธรรม เพราะว่าจิต เจตสิก เป็นนามธรรม เป็นสภาพที่เกิดแล้วก็ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ส่วนรูปธรรมเกิดแต่ไม่สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต้องเข้าใจเรื่องปรมัตถธรรม จึงสามารถที่จะอบรมปัญญา ให้รู้ความจริงของธรรมได้
สาธุ
๐๐๐ ขออนุโมทนาค่ะ ๐๐๐
อนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ