ขอยกข้อความตอนหนึ่ง บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ทุกท่านต้องมีขณะซึ่งเป็นทุกข์ หรือว่ายามคับขันในชีวิต ในขณะนั้น ปกติลองพิจารณาดูว่า ท่านทำอย่างไร ผู้ที่มีรัตนตรัยเป็นสรณะ ทุกคนต้องมีทุกข์ และทุกคนต้องมีความคับขันในชีวิต ขณะนั้นทำอย่างไร?...........เชิญค่ะ..........
สหายธรรมทุกท่านเชิญร่วมสนทนาค่ะ
ขณะมีทุกข์ เนื่องจากความมั่นคงแน่นหนาในความยึดมั่นในตัวเรา ของเรา ทำให้
รู้สึกทุกข์มาก การจะทำให้คลายทุกข์ทันทีจึงยาก หากแต่การระลึกรู้ว่านั่นเป็นเพียง
ธรรมะที่ปรากฏขึ้นทางใจคือนึกคิดเรื่องราวความทุกข์ หรือทุกข์อันเกิดขึ้นทางตา หู
จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นผลจากเหตุที่เคยกระทำไว้แล้ว บังคับบัญชาไม่ได้
และไม่อยู่นาน ทุกข์จึงเกิดขึ้นและต้องดับไปเอง ฉะนั้นการระลึกรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นแล้ว
ปรากฏแล้ว ขณะระลึกรู้เป็นสติ เป็นธรรมะฝ่ายกุศล ให้ผลเป็นความสุข จึงเกิดแทรก
ขณะที่กำลังทุกข์ ให้ระลึกบ่อยๆ ความสุข ความเบา ก็จะเกิดต่อเนื่องกันไป ความทุกข์
ก็จะค่อยๆ คลายไป
ขณะที่ประสบทุกข์ให้คิดถึงกรรมที่เราทำเองจึงต้องได้รับวิบากที่ไม่ดี ทางตา หู จมูก
ลิ้น กาย ส่วนทางใจที่ทุกข์ใจเป็นกิเลสที่เราสะสมมา เราจึงไม่ควรประมาทในกุศล
ให้มีกุศลและธรรมะเป็นที่พึ่ง เพราะที่พึ่งอย่างอื่นคือทรัพย์ ญาติ มิตรเป็นที่พึ่งชั่วคราว
อนุโมทนาค่ะ
ในขณะที่เกิดทุกข์ให้นึกไว้เลยว่าสุขกำลังจะตามมาไม่มีอะไรยั่งยืนและจีรังมีเกิดย่อมมีดับค่ะ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนได้มีโอกาสศึกษาธรรม... เมื่อทุกข์มาก...
ทำไม... ทำไม... ทำไม...
.....
เมื่อได้มีโอกาสศึกษาธรรม... เมื่อทุกข์มาก...
ขณะนั้นทำอย่างไร...
ธรรมทุกอย่างเป็น
"อนัตตา "
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เป็นไปตามการสะสมและเป็นไปตามสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งสะสมมาในแต่ละบุคคล
ไม่เหมือนกัน เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ทุกข์ทางกายเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่
ยังมีกิเลส ก็ย่อมหวั่นไหวไปเป็นทุกข์ใจ เป็นอกุศลเมื่อทุกข์ทางกายเกิดขึ้น ซึ่งเปรียบ
เหมือนถูกลูกศรดอกที่สองยิงซ้ำเข้าไปอีกเพราะทุกข์ใจที่เกิดขึ้นครับ ดังนั้นเมื่อทุกข์
เกิดขึ้นไม่ว่าทางกายและทางใจ ก็เป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล เช่น บาง
บุคคลเป็นอกุศลจิตเกิดต่อและก็ทำทุจริตเพื่อให้คลายทุกข์ แต่บางบุคคลที่ได้อบรม
ปัญญามีความเข้าใจธรรม เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงของทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมและย่อมที่จะน้อมไปที่จะเจริญกุศลในทุกๆ ประการ
อบรมปัญญาเพราะเห็นภัยของทุกข์ที่เกิดขึ้นและบัณฑิตทั้งหลายเมื่อประสบทุกข์ย่อม
ไม่ทิ้งธรรม เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ทำอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งอย่างไรตามการสะสม
ขออนุโมทนาค่ะ
กำลังเห็นขณะนี้ เป็นธรรมะ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทำกิจชั่วขณะแล้วดับไป ธรรมะที่เกิดแล้ว-ดับแล้ว เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง ฉะนั้น ขณะเห็น เป็นขณะที่กำลังประสบกับทุกข์แล้ว แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กำลังประสบทุกข์ การที่จะรู้ชัดในขณะที่ประสบกับทุกข์จากการเห็นได้ ...ต้องด้วยปัญญา เพราะขณะที่กำลังเห็นอยู่นี้ ก็กำลังคับขันอย่างยิ่ง แต่อวิชชาปกปิด และตัณหาก็ฉาบทาไว้ การเห็นเกิดแล้ว - ดับแล้วอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นอีก ...คิดนึกอีก ...ได้ยินอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไปในสังสารวัฏฏ์ เพราะกิเลสยังมี จึงมีปัจจัยให้ธรรมะประการต่างๆ เกิดสืบต่อ ก่อให้เกิดความคับขันของธรรมะประการนั้นๆ เรื่อยไปอีก
ด้วยเหตุนี้ พระอริยเจ้าที่ประจักษ์ความจริงที่เป็นอริยสัจธรรมแล้ว จึงรู้ว่า ทุกขณะของชีวิตเป็นทุกข์ เป็นความคับขันอย่างยิ่ง ไม่ต้องรอให้ถูกใครประทุษร้าย หรือประสบกับภัยธรรมชาติ หรือประสบกับความหายนะวอดวายของทรัพย์สิน และวงศาคณาญาติก็เป็นทุกข์เสียแล้ว รวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ เพียงแต่ในขณะนี้ เริ่มจากการเข้าใจให้ถูกต้องว่าธรรมะเป็นธรรมะ มีอยู่ทุกๆ ขณะแต่ที่จะรู้ได้ มีเพียงหนทางเดียว คือ เป็นผู้มีปกติเจริญสติฯ ระลึกรู้ทันทีว่าสภาพธรรมะที่ปรากฏในขณะนี้ มีจริงๆ แต่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราครับ
สาธุ
ถ้ามีความทุกข์ก็ต้องหาสาเหตุของความทุกข์ว่าเป็นทุกข์เพราะอะไร ทำไมเราจึงทุกข์ แล้วหาวิธีดับทุกข์ ในมรรคมีองค์แปด และมีอีกหลายวิธีที่มีอยู่ในพระธรรมเปรียบดังใบไม้ในป่าใหญ่เพียงแต่หยิบมาใช้เพียงหนึ่งกำมือ (แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ทุกท่านต้องมีขณะซึ่งเป็นทุกข์ หรือว่ายามคับขันในชีวิต ในขณะนั้น ปกติลองพิจารณาดูว่า ท่านทำอย่างไร ผู้ที่มีรัตนตรัยเป็นสรณะ ทุกคนต้องมีทุกข์ และทุกคนต้องมีความคับขันในชีวิต ขณะนั้นทำอย่างไร?
....."ทุกข์หรือสุขก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง" เพราะเป็นสภาพที่มีจริงๆ ไม่เป็นของใคร... ไม่มีใครเป็นเจ้าของ....และเมื่อทั้งสุขหรือทุกข์เกิดขึ้นแล้วเค้าก็ดับไปตามธรรมชาติของเขา......แล้วการที่เราจะยึดว่าทั้งทุกข์หรือสุขนั้นว่า เป็นของเรา....จะเป็นความโง่หรือความฉลาดกันแน่คะ?
ตราบใดที่เราเป็นผู้ที่มีศรัทธา มีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนและมีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง......และพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า....ธรรมคือสิ่งที่มีจริง....ไม่ใช่ของเรา...เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สังขารขันธ์เค้าก็จะปรุงแต่งของเขาเอง เราก็จะไม่เดือดร้อนในความทุกข์นั้นๆ หรืออาจจะเดือดร้อนน้อยลง ซึ่งก็แล้วแต่....
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องทำอะไร เพราะว่าทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วค่ะ...ธรรมต่างหากที่ทำแต่ละหน้าที่ของเค้าเอง
จากคำถามของกระทู้นี้ว่า
ทุกคนต้องมีทุกข์ และทุกคนต้องมีความคับขันในชีวิต ขณะนั้นทำอย่างไร?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับขณะที่เราอบรมเจริญปัญญา คงจะแตกต่างกันมาก
เหตุการณ์ร้ายแรงทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฉียดตาย เรื่องความวิบัติ ความสูญเสีย
เป็นเรื่องที่กระทบเข้ามาในชีวิตอย่างกระทันหัน ตั้งตัวไม่ได้ ซึ่งผมก็เคยประสบมา
เช่นกัน คือ เกือบจะสูญเสียลูกสาวที่อายุ ๔ ขวบ ไป เมื่อหลายปีมาแล้ว และตอนนั้น
ผมศึกษาธรรมะก็ไม่มากและไม่จริงจัง จิตขณะนั้นไม่ยอมรับรู้เรื่องราวอื่นใดได้เลย นอก
เสียจากเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบนั้น เพราะเราคิดเสมอว่า มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
กับเรา โทษทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเอง สภาวะเปรียบเสมือนคนเดินเข้ามาสู่ทาง
ตัน ไม่มีทางออก อยากจะออกแต่ก็หาทางไม่พบ หากเหตุการณ์ที่คับขันเช่นนั้น
เกิดขึ้นอีก ณ ปัจจุบัน ผมก็ไม่แน่ใจว่า สภาวะจิตใจจะเป็นอย่างไร อกุศลจิตจะเกิดขึ้น
มากน้อยเพียงใด แต่ที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้คือ การพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆ ให้เป็น
ธรรมะให้ได้ ธรรมะทั้งหลายที่ได้อ่านจากตำรับตำรา ได้ยิน ได้ฟังจาก ครูบาอาจารย์
ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านวิทยากร ท่านผู้รู้ทุกท่าน คงต้องนำมาพิจารณากับของจริง
ที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะจิตใจยอมรับได้ว่าเป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุด และเป็นหนทาง
เดียวเท่านั้นที่จะทำให้จิตใจดีขึ้นได้ครับ
อ้างอิงความคิดเห็นที่ 1, 2, 7 และ 9:
ขอผู้รู้ช่วยอธิบายว่าความเข้าใจต่อไปนี้ว่าถูกผิดอย่างไร?
เพราะ นาย ก. ลูกชาวนาสะสมกรรมใหม่ เห็นว่าการที่พ่อแม่เลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุนบ้าน
ไม่ถูกสุขลักษณะ เมื่อกลับมาบ้านจึงเป็นทุกข์เพราะกลิ่นโคลนสาบควาย ฯลฯ
ต่อมาเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง นาย ก. ต้องทิ้งงานในเมืองกลับมาทำไร่
ทำนาเสียเอง เขากลับรู้สึกเป็นสุข เพราะกลิ่นโคลนสาบควายคือชีวิตของเขา
กระนั้นก็ยังเป็นเราที่เป็นทุกข์เป็นสุข
ต่อเมื่อนาย ก. เข้าใจถูกต้องว่าธรรมะเป็นธรรมะ ไม่ยึดถือสภาพเหล่านั้นว่าเป็นเรา
จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ
จากความเห็นที่ 14
สุข ทุกข์เกิดจากเหตุปัจจัย เข้าใจถูกคือเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่จะเข้าใจอย่างนั้นได้ ต้องเป็นเรื่องของปัญญาคือการอบรมขั้นการฟังให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไรครับ
ขณะที่ประสบทุกข์........ก็ระลึกรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ แล้วก็รู้อีก รู้อีก.....รู้ไปจนกว่าจะไม่รู้ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้................ตามมี ตามได้แต่ผลจะเป็นอย่างไร...ต้องเข้าใจ ว่า เป็น อนัตตา.
.........................ขออนุโมทนาค่ะ........................