ขอเชิญอ่านโดยตรงจากพระไตรปิฎก
วชิราสูตร [ว่าด้วยมารรบกวนวชิราภิกษุณี]
ผู้ฟัง หมายความว่า การศึกษาพระธรรม ยังไม่มากพอที่จะเป็นปัจจัยให้สติระลึก สติก็ยังไม่ระลึก? แล้วถ้าหากว่า สติยังระลึกไม่ได้ ก็ให้ศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ มีทางเดียวเท่านั้น
อ.สุจินต์ ท่านผู้ฟัง ศึกษาพระธรรม เพื่ออะไร เพื่อละความไม่รู้หรือเพื่อที่จะระลึก
ผู้ฟัง เพื่อละความไม่รู้ค่ะ
อ.สุจินต์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อฟังพระธรรมจนกระทั่งเกิด "ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ " สติ จะไม่ระลึกนั้น มีหรือ แต่ถ้าฟังพระธรรมแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แล้วจะไประลึก นั้น ถูกไหม ถ้าฟังพระธรรมแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ควรที่จะฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ขณะที่กำลังเข้าใจขึ้นๆ นั้นคือ "การระลึก" เกิดแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่า "สภาพธรรมที่มีลักษณะระลึก" เกิดแล้ว ซึ่งใช้คำ เรียกว่า "สติ" แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่กำลังระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่ "รู้เรื่องของธรรมะ และเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่ได้ฟัง" นี่เป็น "สติ" ขั้นแรก จนกว่า ความเข้าใจจากการฟังพระธรรมจะมั่นคงจริงๆ จนกระทั่งสติขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ ซึ่งเป็น "สิ่งที่มีจริงๆ " ขณะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น ... มีจริงอย่างไร
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง และกำลังมีในขณะนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่า "ความเข้าใจ" แต่ละระดับ จะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ ต้องมาจาก "การสะสม" และ "ความเข้าใจ" คือสะสมความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง ถ้าหากว่ายังไม่เข้าใจ แล้วพยายามที่จะไประลึกอย่างนี้ ก็จะยิ่งลำบาก
อ.สุจินต์ ถูกต้องค่ะ เหนื่อยเปล่าและเสียเวลาด้วย
ผู้ฟัง ความเข้าใจ คือ การฟัง?
อ.สุจินต์ ฟังแล้วเกิดความเข้าใจ เมื่อสภาพธรรมที่เข้าใจเกิดขึ้น สภาพธรรมที่เข้าใจนั้น ก็ต้องดับไป และต่อจากนั้นก็เป็น "สภาพธรรมอื่นๆ " เช่น โลภะบ้าง โทสะบ้าง คือกุศลจิตหรืออกุศลจิต เกิดต่อไป ซึ่งก็แล้วแต่ "เหตุปัจจัย" แต่ทั้งหมดเป็น "ธรรมะ" หมายความว่า เมื่อ "ปัญญา" มีกำลังมากพอ "ปัญญา" จะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สติ โลภะ โทสะ ฯลฯ ที่เกิด-ปรากฏ นั้นเป็น "ธรรม" คือสภาพธรรมแต่ละประเภทๆ เท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ฟัง ถ้า "วิชชา" คือ ความรู้หรือปัญญา เกิดขึ้น บุคคลนั้นก็อาจจะไม่รู้ ใช่ไหมครับ?
อ.สุจินต์ ถูกต้องค่ะ เช่น แม้จะมีสภาพแข็งปรากฏ ซึ่งเพียงปรากฏเล็กน้อยเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ปรากฏแล้ว-ดับไปทันที ผ่านไปแล้วหมดไปแล้ว ยิ่งพยายามที่จะไประลึกถึงสภาพธรรมซึ่งเกิด-ดับ-ผ่านไป-หมดไปแล้วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น "ตัวเรา" ที่พยายามไประลึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ! เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้สติระลึกแต่ไม่เข้าใจว่าสติคืออะไร ยิ่งไปพยายามให้สติระลึก ก็เป็นตัวเราที่พยายามที่จะไปทำ ยิ่งทำเท่าไรก็ "เป็นตัวเรา" ที่ทำ
ผู้ฟัง ขณะที่กุศลจิตเกิด ... ขณะนั้นเป็น "สติ" ใช่ไหมครับ?
อ.สุจินต์ เดี๋ยวก่อน หมายถึงขณะไหน ขณะที่ "กุศลจิต" เกิด ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่ "ลักษณะของสติ" ปรากฏ ! โดยมากมักจะ "ข้ามความเข้าใจ" คือ ข้ามถความเข้าใจในความเป็นธรรมะ แต่มักจะเรียกชื่อ เช่น คำว่า "สติ" รู้ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าสติคือสภาพธรรม หรือพยายามที่จะไปรู้ว่า อย่างนี้เรียกว่า "กุศล" หรืออย่างนี้ เรียกว่า "อกุศล" แต่ ไม่รู้ "ลักษณะ" ที่เป็น "ธรรมะ" คือเรียกชื่อของสภาพธรรมแต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นสภาพธรรม
ความเป็นสภาพธรรมของสิ่งที่มีจริงๆ นั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไปทันที ! โดยมาก ข้ามการพิจารณาว่า แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เกิด-ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดปรากฏเพราะมี "ปัจจัย" จึงเกิดขึ้น เมื่อหมดปัจจัยก็ต้องดับไปเป็นปกติ ธรรมดา และ "ธรรมะ" มีความหลากหลาย เช่น ขณะที่โลภะ ความติดข้องพอใจเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เห็น ถ้ามีความเข้าใจก็คือเข้าใจว่า สภาพธรรมทั้ง ๒ ประเภทนี้มีความต่างกัน คือ รู้จัก "ตัวธรรมะ" ที่ต่างกัน เพราะเหตุว่า การเห็นก็เป็นสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ส่วนโลภะ ก็เป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ ประเภท เป็นต้นนั้น ล้วนเป็น "ธรรมะ" ทั้งสิ้น แทนที่จะพยายามไปเรียกชื่อ ระบุชื่อ ว่านี่คือเห็น เป็นจักขุวิญญาณ นั่นเป็นโลภะมีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย หรือโลภะที่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ฯลฯ หรือพยายามที่จะไปคิดอะไรๆ แทนที่ "ควร" จะเข้าใจก่อนว่า "ธรรมะ" คือสิ่งที่มีจริงๆ เมื่อปรากฏก็ปรากฏโดยมี "ลักษณะที่ต่างๆ กัน" รู้ว่ามี "ลักษณะ" ต่างกัน แม้โดยไม่เรียกชื่อ
ขออนุโมทนา
อนุโมทนาด้วยครับ
อ่านดี
ที่สำคัญที่สุดคือเริ่มจากการฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปสติปัฏฐานเลย เป็นประโยชน์ครับ
" ... เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้สติระลึกแต่ไม่เข้าใจว่าสติคืออะไร ยิ่งไปพยายามให้สติระลึกก็เป็นตัวเราที่พยายามที่จะไปทำ ยิ่งทำเท่าไร ... ก็ "เป็นตัวเรา" ที่ทำ ! ..."
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เมื่อฟังพระธรรม จนกระทั่งเกิด "ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ " สติ จะไม่ระลึกนั้น มีหรือ?
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
กระทู้นี้มีประโยชน์มากครับ สำหรับผู้สนใจ สติปัฏฐาน
ขอกราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ไม่ต้องห่วงว่าเมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด ถ้าห่วงก็เป็นเรา ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม แสดงว่าความเข้าใจยังไม่มั่นคง สติปัฏฐานก็ไม่เกิดแน่นอน
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอถามต่อค่ะ
ธรรมก็คือชีวิตจริงในขณะนี้ของบุคคลทั่วไป ที่มีเหตุปัจจัยให้เกิด แต่บุคคลทั่วไปไม่ทราบว่าเป็นธรรม ว่าแท้จริงไม่ใช่เรา เข้าใจถูกต้องหรือไม่ ขอเรียนถามด้วยค่ะ
กราบขอบคุณค่ะ
เรียน คุณดวงใจ
พระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ทรงตรัสรู้ ว่า "ชีวิต" ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วเป็น "ธรรม" ธรรมหรือธัมมะ ไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก รูป นิพพาน (ปรมัตถธรรม ๔) และ ชีวิตประจำวันก็คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เป็นความจริงที่ยากที่บุคคลทั่วไปจะรู้ตามความจริงนี้ได้ ค่ะ
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียน ท่านวิทยากร ที่นับถือ
ขอความกรุณาค้นคว้าข้อความในพระไตรปิฎก ตามที่คุณนันทภพขอมาด้วยนะคะ. ดิฉันตอบไปตามความรู้ที่ได้ศึกษาจากหนังสือ "พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน" "หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป" และ "ธรรมบรรยาย" โดยท่านอาจารย์สุจินต์.
ในส่วนของพระไตรปิฎกนั้น กำลังจะเริ่มต้นศึกษา (อ่าน) ไปตามลำดับ จึงไม่สามารถค้นคว้าให้ด้วยตัวเองได้ ขออภัยด้วยค่ะ
ขอบคุณและขออนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกท่าน ค่ะ.
ขอเชิญอ่านโดยตรงจากพระไตรปิฎก
วชิราสูตร [ว่าด้วยมารรบกวนวชิราภิกษุณี]
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุค่ะ
สาธุค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณ อาจารย์ทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านค่ะ