ปัจจุบันหลายคนเริ่มไม่เชื่อว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” บางคนคิดว่า “ผลของกรรมไม่มี ตายแล้ว ไม่มีการเกิดอีก” ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม คือความจริงให้ถ่องแท้ ก็อาจจะมีความเห็นคล้อยตามข้อความดังกล่าว คือ “คนทำชั่วได้ชั่ว มีที่ไหน คนทำชั่ว ได้ดีมีถมไป” และ “ผลของกรรมไม่มี ตายแล้วสูญ”
เมื่อมีความคิดและมีความเชื่อเช่นนี้ หลายคนจะรู้สึก ท้อแท้ที่จะทำความดี แต่ข้อความต่อไปนี้ อาจจะทำให้ ท่านมีความเชื่อมั่นว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” และ “ผล ของกรรมมีจริง และชาติหน้ามีจริง เราต้องเกิดอีกเพื่อรับ ผลของกรรม” แน่นอน
เนื่องจาก จิตเป็นสภาพที่สะสมกรรมและกิเลส และสืบทอดกรรมและกิเลส ไปยังจิตดวงใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากรรมนั้นจะให้ผล (วิบากจิต) เช่น เมื่อเราได้แอบขโมย ทรัพย์สินของคนอื่น โดยไม่มีใครรู้เห็น เราอาจจะคิดว่า รอดตัวไป เพราะไม่มีใครจับได้ แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ แล้วว่า จิตเป็นสภาพที่สืบทอดกรรมและกิเลส กรรมมีแล้ว (ขโมยแล้ว) ผลของกรรมจะต้องมี และเมื่อถึงเวลาที่กรรมให้ผล ท่านอาจจะสูญเสียทรัพย์สิน โดยที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น ลงทุนทำอะไร ก็ขาดทุนอยู่เสมอ หรือถูกปล้น ถูกขโมยทรัพย์สิน เป็นต้น
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กระผมเชื่อเรื่อง "ผลกรรม" ครับ แต่ผลกรรมที่ท่านกล่าวไว้ว่า ... ได้ขโมยแล้วในชาตินี้ ชาติต่อไปอาจจะถูกขโมยกลับนั้นกระผมไม่เห็นด้วยครับ นี่อาจจะเป็นการกล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯแล้วครับ .. เพราะผลกรรมเป็นเรื่องอจินไตยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯทรงห้ามปุถุชนอย่างเราๆ นำไปคิดไปตรึกครับ ยิ่งไม่ควรนำไปกล่าวหรือแสดงให้บุคคลอื่นรู้เห็นตามครับ เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฯแล้วไม่มีใครมีปัญญาลึกล้ำพอที่จะมองเห็นผลกรรมได้ครับ
การลักทรัพย์ ผลของกรรมจะต้องมี และเมื่อถึงเวลาที่กรรมให้ผล ท่านอาจจะสูญเสียทรัพย์สิน โดยที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น ลงทุนทำอะไร ก็ขาดทุนอยู่เสมอ หรือถูกปล้น ถูกขโมยทรัพย์สิน เป็นต้น
เรื่องของกรรมเป็นอจิณไตย
วิบากจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นผลของกัมมปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งยากแก่การที่จะรู้ได้ว่า วิบากจิตที่เกิดขึ้นแต่ละทวารนั้น เป็นผลของอดีตกรรมอะไรเช่น วิบากจิตที่ได้ยินเสียงเด็กเล่นฟุตบอลนั้นเป็นผลของอดีตกรรมอะไร เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก เพราะเป็นอจินไตย คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด
กรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นเหตุในอดีต ซึ่งแม้จะได้กระทำมานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจิตได้ ฉะนั้น ถ้าใครคิดเดาว่าเห็นสิ่งนี้เป็นผลของกรรมอะไร ได้ยินเสียงนั้นเป็นผลของกรรมอะไร ก็จะไม่พ้นจากความไม่รู้และวุ่นวายใจ เพราะคิดเดาในสิ่งซึ่งไม่อาจมีปัญญาขั้นที่จะรู้จริงได้ แต่วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมก็กำลังมีปรากฏให้รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย