ทรงเปรียบเทียบดอกไม้กับกิเลส มีความหมายว่าอย่างไร ขอช่วยอธิบายด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่อง พระเจ้าวิฑูฑภะ
พระเจ้าวิฑูฑภะ ฆ่าเจ้าศากยะเป็นอันมากแล้วได้พาเหล่าทหารไปที่ริมแม่น้ำ ถูกคลื่นน้ำ พากันตายกันหมดสิ้น ความตั้งใจยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องพากันมาตายกันเสียก่อน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสพระคาถานี้ กับพะรภิกษุทั้งหลาย ครับ อันเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับกิเลส คือ ความยินดี พอใจ ติดข้องในสิ่งต่างๆ กับ ดอกไม้
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 40
"มัจจุ ย่อมพานระผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ ผู้เลือกเก็บดอกไม้อยู่เที่ยวไป เหมือนห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านอันหลับแล้วไปฉะนั้น."
นายมาลาการ ผู้ที่เป็นช่างดอกไม้ เมื่อเข้าไปในสวนดอกไม้ เมื่อเห็นดอกไม้ที่ดี ย่อมไม่เลือกดอกไม้นั้น กับไปสนใจในดอกไม้กออื่น ฉันใด ชนทั้งหลาย ผู้ประมาทอยู่ พากันติดข้องในอารมณ์ที่น่ายินดี พอใจ ชื่อว่าประมาทอยู่ เพราะเกิดอกุศลและเกิดกิเลสในขณะที่เห็น ได้ยิน เป็นต้น ไม่เลือกดอกไม้ที่ดี ที่เป็นกุศลธรรม แต่มัวเลือกเก็บดอกไม้อื่นอยู่ที่ทำให้ติดข้องถึงความประมาท ยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสที่น่าพอใจ มีใจข้องด้วยอกุศลในอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังปรากฏ เหล่าชนผู้ประมาท ย่อมถูกห้วงน้ำ พัดชนผู้หลับด้วยกิเลส ให้ตกลงในมหาสมุทร คือ อบายภูมิ
เรื่อง นางปติปูชิกา
แสดงถึงชีวิตของเทพธิดา ที่เป็นภรรยาของเทวดา จุติจากสวรรค์มาเกิดบนโลกมนุษย์ และทำบุญทำทานกับพระภิกษุ มีครอบครัว และไม่นานก็ตาย กลับไปเกิด ในสำนักของสามีของตนเองอีกครั้งในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทพบุตรเห็นจึงกล่าวว่า นางไปไหนมาเมื่อกี้นี้ เทพธิดากล่าวตอบว่า ดิฉันไปบังเกิดบนโลกมนุษย์ เป็นเวลา ๕๐ ปี เทพบุตรจึงกล่าวว่า มนุษย์อายุสั้นมากขนาดนั้นหรือ แล้วมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร เทพธิดากล่าวว่า ใช้ชีวิตเหมือนตัวเองอายุนับประมาณไม่ได้ ประมาทเหลือเกิน เทพบุตรถึงความสลด สังเวชใจ เมื่อภิกษุทั้งหลาย ทราบการตายของนางปติปูชิกา ที่เคยบำรุงท่าน ก็เลยกราบทูลเรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า อายุเป็นของน้อย และได้ตรัสพระคาถาว่า
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 47
"มัจจุ ผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่อิ่มในกามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ."
พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ชีวิตเป็นของน้อย คือ มีอายุที่สั้นมากๆ เพราะสัตว์โลกถูกมัจจุ คือ ความตายครอบงำอยู่ทุกขณะ และความตายนั้นเอง ย่อมพาชนผู้ประมาท คือ มัวติดข้อง ยินดีพอใจในอารมณ์ต่างๆ มีรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ศึกษา ไม่อบรมปัญญา มัวประมาทอยู่ ไม่อิ่มในสิ่งที่เห็น ได้ยิน เป็นต้น ให้ตกอยู่ในอำนาจ คือ ไม่พ้นจากความตายและต้องตายอยู่ร่ำไป เพราะยังมีกิเลส จึงตกอยู่ในอำนาจของความตาย ดังเช่น นายมาลาการ คือ ช่างดอกไม้ มัวเลือกดอกไม้อื่นอยู่ ไม่เลือกเก็บดอกไม้ที่เป็นกุศลธรรม คือ การอบรมปัญญา ย่อมประมาทในขณะนั้นครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ไม่นำประโยชน์อะไรมาให้เลย ให้ผลเป็นทุกข์ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย อกุศลธรรมก็เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ทั้งโลภะ ความติดข้อง ยินดีพอใจ หรือ โทสะ ความขุ่นเคืองใจ โกรธ ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นอกุศลธรรมทั้งนั้น ถ้าหากว่าเป็นผู้ประมาทมัวเมาในชีวิต โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่เจริญกุศลทุกๆ ประการ ย่อมจะไม่เห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้น เมื่อไม่เห็นโทษของอกุศล ก็จะไม่ขัดเกลาอกุศลให้เบาบางลง เมื่อไม่ขัดเกลา ก็นับวันจะมีแต่อกุศลเกิดมากขึ้น สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีกำลังแรงกล้า ก็สามารถล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าได้ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นเครื่องเตือนให้ไม่ประมาทในชีวิต เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ในระหว่างที่ยังไม่ตายนั้น อะไรคือสิ่งที่ควรสะสมที่สุด ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่สิ่งที่ดีงาม ไม่ควรจะปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ชาวศรีลังกา เวลาบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ท่านจะพิจารณาว่า "ความงามเลิศและความหอมหวนของดอกไม้ ที่ข้าพระพุทธเจ้านำมาสักการะต่อพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ จะเหี่ยวแห้งเสื่อมสลายมลายไป เป็นผงคลี ฉันใด รูปกายของข้าพระพุทธเจ้า ก็จะถึงความเสื่อมชรา และมลายไป เป็นผงคลี ฉันนั้น"
สาธุ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ