[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 205
วรรคที่ ๔
ว่าด้วยสัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีน้อย 205/205
อรรถกถาวรรคที่ ๔ 208
อรรถกถาสูตรที่ ๑ 208
อรรถกถาสูตรที่ ๒ เป็นต้น 210
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 205
วรรคที่ ๔
ว่าด้วยสัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีน้อย
[๒๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่เกิดบนบก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิดในน้ำ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่กลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กลับมาเกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบท มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิดในปัจจันตชนบทในพวกชาวมิลักขะที่โง่เขลา มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิตและคำเป็นทุพภาษิตได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เขลา โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิตและคำเป็นทุพภาษิตได้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ประกอบด้วยปัญญาจักษุอย่างประเสริฐ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ตกอยู่ในอวิชชา หลงใหล มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้เห็นพระตถาคต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้เห็นพระตถาคต มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้ได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ได้ฟังธรรมแล้วทรงจำไว้ไม่ได้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ไตร่ตรองอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่รู้ทั่วถึงอรรถ ไม่รู้ทั่วถึงธรรม แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 206
ความสลดใจ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่สลดใจในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่สลดใจเริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคาย มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่สลดใจไม่เริ่มตั้งความเพียรโดยแยบคาย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้สมาธิ ไม่ได้เอกัคคตาจิต มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ข้าวอันเลิศและรสอันเลิศ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้ข้าวอันเลิศและรสอันเลิศ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการแสวงหาด้วยภัตที่นำมาด้วยกระเบื้อง มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส มากกว่าโดยแท้ เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสวนที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่น่ารื่นรมย์ มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ เพียงเล็กน้อย มีที่ดอน ที่ลุ่ม เป็นที่ตั้งแห่งตอและหนาม มีภูเขาระเกะระกะ เป็นส่วนมาก ฉะนั้น เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ได้อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
[๒๐๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์กลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 207
มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากเทพยดากลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากนรกกลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานกลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยกลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้ เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสวนที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่น่ารื่นรมย์ มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ เพียงเล็กน้อย มีที่ดอน ที่ลุ่ม เป็นลำน้ำ เป็นที่ตั้งแห่งตอและหนาม มีภูเขาระเกะระกะเป็นส่วนมากโดยแท้ฉะนั้น.
จบวรรคที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 208
อรรถกถาวรรคที่ ๔ (๑)
วรรคที่ ๔ สูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ชมฺพูทีเป ความว่า ชื่อว่าซมพูทวีป เพราะเป็นทวีปที่รู้กันทั่วไป คือ ปรากฏด้วยต้นหว้าเป็นสำคัญ. เขาว่า ทวีปนี้มีต้นหว้าใหญ่ตระหง่านสูง ๑๐๐ โยชน์ กิ่งยาว ๕๐ โยชน์ ลำต้นกลม ๑๕ โยชน์ เกิดอยู่ที่เขาหิมพานต์ตั้งอยู่ชั่วกัป. ทวีปนี้เรียกว่า ชมพูทวีป เพราะมีต้นหว้าใหญ่นั้น. อนึ่ง ในทวีปนี้ ต้นหว้าตั้งอยู่ชั่วกัป ฉันใด แม้ต้นไม้เหล่านี้ คือ ต้นกระทุ่ม ในอมรโคยานทวีป ต้นกัลปพฤกษ์ ในอุตตรกุรุทวีป ต้นซีก ในบุพพวิเทหทวีป ต้นแคฝอยของพวกอสูร ต้นงิ้วของพวกครุฑ ต้นปาริชาตของพวกเทวดา ก็ตั้งอยู่ชั่วกัปเหมือนกัน ฉันนั้น.
ท่านประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า
ปาตลี สิมฺพลี ชมฺพู
เทวานํ ปาริฉตฺตโก
กทมฺโพ กปฺปรุกฺโข จ
สิรีเสน ภวติ สตฺตโม
แปลว่า
ต้นแคฝอย ต้นงิ้ว ต้นหว้า ต้นปาริชาต ของเทวดา ต้นกระทุ่ม ต้นกัลปพฤกษ์ และต้นซีก ครบ ๗ ต้น.
บทว่า อารามรามเณยฺยกํ ความว่า บรรดาสวนดอกไม้และสวนผลไม้ที่น่ารื่นรมย์ เช่น สวนพระเวฬุวัน ชีวกัมพวัน เชตวัน และบุพพาราม. สวนอันน่ารื่นรมย์นั้น ในชมพูทวีปนี้มีน้อย คือ นิดหน่อย
(๑) บาลีข้อ ๒๐๕ - ๒๐๖
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 209
อธิบายว่า มีไม่มาก. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า วนรามเณยฺยกํ ในสูตรนี้ พึงทราบว่า ป่าไม้ คือ อรัญดงไม้ในประเทศแห่งเขาวงก์และเขาหิมวันต์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกับป่านาควัน ป่าสาลวัน และป่าจัมปกวันเป็นต้น. บทว่า ภูมิรามเณยฺยกํ ได้แก่ พื้นที่สม่ำเสมอ คือ ราบเรียบ เช่น พระเชตวันวิหาร และนาในแคว้นมคธเป็นต้น. บทว่า โปกฺขรณีรามเณยฺยกํ ได้แก่ สถานที่ตั้งสระโบกขรณีซึ่งมีสัณฐานกลม สี่เหลี่ยม ยาวและโค้งเป็นต้น เช่น สระโบกขรณีของเจ้าเชต และสระโบกขรณีของเจ้ามัลละ. บทว่า อุกฺกูลวิกูลํ แปลว่า ที่ดอนและที่ลุ่ม. ในพระบาลีว่า อุกฺกูลวิกูลํ นั้น ที่ดอนชื่อว่า อุกกูละ ที่ลุ่มชื่อว่า วิกูละ บทว่า นทีวิทุคฺคํ ได้แก่ แม่น้ำ ที่เรียกว่า นทีวิทุคฺคํ เพราะเป็นแม่น้ำที่ไหลไปยาก คือ หล่ม. บทว่า ขาณุกณฺฏกฏฺานํ ได้แก่ ที่ทับถมอยู่แห่งตอและหนามอันเกิดในที่นั้นเอง และที่คนอื่นนำมาทิ้งไว้. บทว่า ปพฺพตวิสมํ ได้แก่ ที่ขรุขระแห่งภูเขานั่นแหละ.
บทว่า เย โอทกา ความว่า สัตว์ที่เกิดในน้ำเท่านั้น มากกว่า. ได้ยินว่า จากที่นี้ไปประมาณ ๗๐๐ โยชน์ มีประเทศชื่อว่าสุวรรณภูมิ. เรือแล่นไปด้วยลมพัดไปทางเดียว จะเดินทางถึงในเวลา ๗ วัน ๗ คืน. ครั้นสมัยหนึ่ง เรือแล่นไปอย่างนั้น เดินทางไปเพียง ๗ วัน (โดยแล่นไป) ตามหลังปลานันทิยาวัฏ. (๑) พึงทราบว่า สัตว์น้ำมีมากอย่างนี้. อีกประการหนึ่ง เพราะพื้นที่บนบกน้อย และเพราะน้ำมีมาก พึงทราบความหมายในเรื่องนี้ดังต่อไปนี้ :- เหมือนอย่างว่า ในบึงใหญ่มีกอบัวกอหนึ่ง มีใบ ๔ ใบ เฉพาะตรงกลาง (กอ) มีดอกบัวตูมดอกหนึ่ง ฉันใด
(๑) เขาว่า ปลาขนาดใหญ่มาก อาจจะเป็นประเภทปลาวาฬก็ได้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 210
ทวีปทั้ง ๔ เหมือนใบบัว ๔ ใบ เขาสิเนรุเหมือนดอกบัวตูมที่กลาง (กอ) ฉันนั้นเหมือนกัน. โอกาสว่างที่น้ำล้อมรอบทวีป ก็เหมือนน้ำที่เหลือ. ความที่น้ำนั้นเป็นของมาก ย่อมปรากฏแก่ท่านผู้มีฤทธิ์. เพราะเมื่อท่านผู้ฤทธิ์ไปทางอากาศ ทวีปทั้ง ๔ ย่อมปรากฏเหมือนใบบัว ๔ ใบ เขาสิเนรุปรากฏเหมือนดอกบัวตูมอยู่ตรงกลาง พึงทราบว่า เพราะสัตว์เกิดในน้ำมีมาก สัตว์น้ำเท่านั้นจึงมากกว่าด้วยประการอย่างนี้.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒ เป็นต้น
ในสูตรที่ ๒ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อญฺตฺร มนุสฺเสหิ ความว่า ในที่นี้ท่านประสงค์เอาอบายทั้ง ๔ เว้นมนุษย์ทั้งหลาย.
บทว่า มชฺฌิเมสุ ชนปเทสุ อธิบายว่า ในทิศตะวันออก มีนิคมชื่อกชังคละ, ต่อจากนิคมนั้นไป เป็นมหาสาลนคร. ถัดจากมหาสาลนครนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามา เป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแม่น้ำชื่อว่าสาลวดี ถัดจากแม่น้ำนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามา เป็นมัชฌิมประเทศ, ในทิศใต้ มีนิคมชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจากนิคมนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามา เป็นมัชฌิมประเทศ, ในทิศตะวันตก มีบ้านพราหมณ์ชื่อถูนะ ถัดจากบ้านพราหมณ์นั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามา เป็นมัชฌิมประเทศ, ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่ออุสีรธชะ ถัดจาก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 211
ภูเขานั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามา เป็นมัชฌิมประเทศ, ในชนบทที่ท่านกำหนดไว้ดังกล่าวมาฉะนี้. ชนบทนี้มีสัณฐานเหมือนตะโพน (วัด) โดยตรง บางแห่ง ๘๐ โยชน์ บางแห่ง ๑๐๐ โยชน์ บางแห่ง ๒๐๐ โยชน์ แต่ตรงกลาง ๓๐๐ โยชน์ (วัด) โดยรอบประมาณ ๙๐๐ โยชน์. สัตว์เหล่านี้ คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวก พระพุทธอุปัฏฐาก และพระพุทธสาวก พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมเกิดในที่มีประมาณเท่านี้. อีกประการหนึ่ง มัชฌิมประเทศ แม้เทียบเคียงเอาย่อมได้. พึงทราบนัยอย่างนี้ว่า ก็ชมพูทวีปแม้ทั้งสิ้น ชื่อว่าเป็นมัชฌิมประเทศ ทวีปที่เหลือเป็นปัจจันตชนบท. เมืองอนุราธปุระในตามพปัณณิทวีป (เกาะลังกา) ชื่อว่าเป็นมัชฌิมประเทศ ประเทศที่เหลือเป็นปัจจันตชนบท.
ในบทว่า ปญฺวนโต อชฬา อเนฬมูคา นี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญาเหล่านี้ คือ กัมมัสสกตปัญญา ๑ ฌานปัญญา ๑ วิปัสสนาปัญญา ๑ มัคคปัญญา ๑ ผลปัญญา ๑ ชื่อว่าผู้มีปัญญา. ผู้ไม่โง่เขลา ชื่อว่าผู้ไม่โง่เง่า. น้ำลายของชนเหล่าใดไม่ไหลออกจากปาก ชนเหล่านั้นชื่อว่าผู้ไม่มีน้ำลายไหล. อธิบายว่า ปากไม่มีน้ำลาย (ไหลยืด) ปากไม่มีโทษ. บทว่า ปฏิพลา แปลว่า ผู้สามารถ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยกำลังกาย และกำลังญาณ. บทว่า อญฺาตุํ ความว่า เพื่อรู้ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เหตุและมิใช่เหตุ. บทว่า ทุปฺปญฺา แปลว่า ผู้ไม่มีปัญญา. บทว่า ชฬา แปลว่า ผู้เขลา ผู้หลง.
บทว่า อริเยน ปญฺาจกฺขุนา ความว่า พร้อมกับวิปัสสนาและมรรค. บทว่า อวิชฺชาคตา แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความมืดบอด คือ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 212
อวิชชา.
บทว่า เย ลภนฺติ ตถาคตํ ทสฺสนาย ความว่า สัตว์เหล่าใดรู้คุณของพระตถาคต ย่อมได้เห็นพระตถาคตด้วยจักขุวิญญาณ.
บทว่า ตถาคตปฺปเวทิตํ ความว่า อันพระตถาคตประกาศแล้ว คือ ตรัสประกาศไว้แล้ว. บทว่า สวนาย ได้แก่ เพื่อสดับด้วยโสตวิญญาณ.
บทว่า ธาเรนฺติ ได้แก่ ไม่หลงลืมพระธรรมวินัยนั้น. บทว่า ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถํ อุปปริกฺขนฺติ ความว่า สอบสวนอรรถและมิใช่อรรถะแห่งพระบาลีโดยคล่องแคล่ว. บทว่า อตฺถมญฺาย ธมฺมมญฺาย ได้แก่ รู้อรรถกถาและบาลี. บทว่า ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปซฺซนฺติ ได้แก่ บำเพ็ญปฏิปทาอันสมควร.
บทว่า สํเวชนีเยสุ าเนสุ ได้แก่ ในเหตุอันน่าสังเวช. บทว่า สํวิชฺชนติ ความว่า ย่อมถึงความสังเวช. บทว่า โยนิโส ปทหนฺติ ความว่า กระทำปธานะ คือ ความเพียรอันตั้งไว้โดยอุบาย.
บทว่า ววสฺสคฺคารมฺมณํ ความว่า พระนิพพานเรียกว่า ววัสสัคคะ (เป็นที่สละสังขาร). กระทำพระนิพพานนั้นให้เป็นอารมณ์. บทว่า ลภนฺติ สมาธึ ความว่า ย่อมได้มรรคสมาธิและผลสมาธิ.
บทว่า อนฺนคฺครสคฺคานํ ได้แก่ ข้าวอย่างดีและรสอย่างดี. บทว่า อุญฺเฉน กปาลภตฺเตน ยาเปนฺติ ความว่า ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยรากไม้ และผลไม้น้อยใหญ่ในป่า หรือด้วยภัตตาหารที่ตนนำมาแล้วด้วยภาชนะกระเบื้องโดยการแสวงหา. ก็ในเรื่องนี้ บุคคลใดเมื่อจิตเกิดต้องการของเคี้ยวของกินอะไรๆ ก็ไม่ได้ของนั้นในทันที บุคคลนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 213
ชื่อว่าไม่ได้ข้าวอย่างดีและรสอย่างดี. แม้เมื่อบุคคลใดได้ในทันที แล้วมองดูอยู่ (เห็น) สี กลิ่น และรสไม่ชอบใจ แม้บุคคลนี้ก็ชื่อว่าไม่ได้ข้าวอย่างดีและรสอย่างดี. ส่วนบุคคลใดได้ของที่มีสี กลิ่น และรสชอบใจ บุคคลนี้ชื่อว่าได้ข้าวอย่างดีและรสอย่างดี. บุคคลผู้นั้นพึงทราบโดยตัวอย่างสูงสุด เช่น พระเจ้าจักรพรรดิ โดยตัวอย่างอย่างต่ำ พระเจ้าธรรมาโศกราช. ก็โดยสังเขป ภัตตาหารหนึ่งถาดมีราคาแสนหนึ่งนี้ ซื่อว่าข้าวอย่างดีและรสอย่างดี.
ถามว่า ก็การที่พวกมนุษย์ได้เห็นภิกษุสงฆ์เที่ยวบิณฑบาต แล้วถวายภัตตาหารอันอุดมและประณีต นี้เรียกว่าอะไร. ตอบว่า นี้ก็เรียกว่า ข้าวอย่างดีและรสอย่างดี เทียบเคียงบุคคลผู้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยภัตตาหารที่ตนนำมาด้วยภาชนะกระเบื้องด้วยการเที่ยวแสวงหา.
ในบทว่า อติถรโส เป็นต้นไป ความว่า สามัญญผล ๔ ชื่อว่าอรรถรส. มรรค ๔ ชื่อว่าธรรมรส. พระอมตนิพพาน ชื่อว่าวิมุตติรส. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาวรรคที่ ๔
จบชมพูทวีปเปยยาล