[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ ๘๖๕
๘. ตักกลชาดก
(ว่าด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดา)
[๑๔๐๐] ข้าแต่พ่อ มันนก มันเทศ มันมือเสือ และ ผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึง ขุดหลุมอยู่คนเดียว ในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า.
[๑๔๐๑] แน่ะพ่อ ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียดเบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ อย่างลำบากเลย.
[๑๔๐๒] พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว กระทำ กรรมอันหยาบช้าอันล่วงเสียซึ่งประโยชน์ ดูก่อนพ่อ เมื่อพ่อแก่ลงก็จักได้รับกรรมเช่นนี้ จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยง ตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง.
[๑๔๐๓] แน่ะพ่อ เจ้ากล่าวกระทบกระเทียบขู่ เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย เจ้าเป็นลูกที่เกิด แต่อกของพ่อ แต่หาได้มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อไม่.
[๑๔๐๔] ข้าแต่พ่อ มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อ แม้ฉันก็มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แต่พ่อ แต่เพราะฉันไม่กล้าจะห้ามพ่อ ผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้ จึงได้พูดกระทบกระเทียบเช่นนั้น.
[๑๔๐๕] ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอัน ลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดา ผู้ไม่ประ ทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึง นรกโดยไม่ต้องสงสัย.
[๑๔๐๖] ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดา ด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า เข้าถึง สุคติโดยไม่ต้องสงสัย.
[๑๔๐๗] แน่ะพ่อ เจ้าจะเป็นผู้ไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่ เจ้าชื่อว่าเป็นผู้มี ความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อแล้ว แต่พ่อถูก แม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรมที่หยาบ คายเช่นนี้.
[๑๔๐๘] หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน พ่อจงขับไล่ไปเสียจาก เรือนของตน เพราะแม่จะทำทุกข์อย่างอื่นมา ให้พ่ออีก.
[๑๔๐๙] หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน ซึ่งมีใจบาปนั้น ถูก ทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ แล้ว จงกลับมาเรือนเถิด.
จบ ตักกลชาดกที่ ๘
อรรถกถาตักกลชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ บุรุษผู้เลี้ยงบิดาคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น ตกฺกลาสนฺติ ดังนี้.
ได้ยินว่า บุรุษนั้นเป็นลูกคนสุดท้องในตระกูลยากจนตระกูล หนึ่ง เมื่อมารดาตายแล้ว เขาลุกขึ้นแต่เช้า ทำการปฏิบัติบิดามีให้ไม้ สีฟันแลน้ำบ้วนปากเป็นต้น จัดอาหารมีข้าวยาคูแลภัตเป็นอาทิ โดย สมควรแก่ทรัพย์ที่ตนได้มาด้วยการรับจ้างและการไถ บำรุงเลี้ยงบิดา ครั้งนั้น บิดาพูดกะเขาว่า ลูกรัก เจ้าคนเดียวทำการงานทั้งภายในภาย นอก พ่อจักนำนางกุลทาริกามาให้เจ้าสักคนหนึ่ง นางจักได้ช่วยทำการ- งานในเรือน. เขากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ขึ้นชื่อว่าสตรีมาเรือนแล้ว คงจัก ไม่ทำความสุขใจให้แก่ฉันและพ่อได้ ขอพ่ออย่าได้คิดเช่นนี้เลยฉันจัก เลี้ยงดูพ่อจนตลอดชีวิต เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วฉันจักบวช. ลำดับนั้น บิดาได้นำนางกุลทาริกาคนหนึ่งมาให้ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องการเลย นางได้มี อุปการะและเคารพยำเกรงต่อพ่อผัวและผัว ฝ่ายผัวก็ยินดีต่อนางว่า เป็น ผู้อุปการะต่อบิดาของตน จึงนำของที่ชอบๆ ใจ ซึ่งได้มาๆ มามอบให้ แม้นางก็ได้น้อมนำเข้าไปให้พ่อผัวทั้งสิ้น.
ต่อมา นางคิดว่า สามีของเราได้อะไรมา ก็มิได้ให้แก่บิดา ให้ แก่เราผู้เดียวเท่านั้น เขาคงไม่มีความรักในบิดาเป็นแน่ เราจักใช้อุบาย อย่างหนึ่งทำตาแก่นี้ให้เป็นที่เกลียดชังแห่งสามีเรา แล้วให้ขับเสียจาก เรือน. ตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้ทำเหตุที่ยั่วให้พ่อผัวโกรธ เป็นต้นว่า เมื่อจะให้น้ำ ก็ให้น้ำเย็นเกินไปบ้าง ร้อนเกินไปบ้าง ให้อาหารเค็มจัด บ้างจืดไปบ้าง ให้ภัตดิบๆ สุกๆ บ้าง แฉะเกินไปบ้าง ดังนี้ เมื่อพ่อ โกรธ นางก็กล่าวคำหยาบว่า ใครจักอาจปฏิบัติตาแก่นี้ได้. แล้วก่อการ ทะเลาะขึ้น แลแกล้งขากก้อนเขฬะเป็นต้น ในที่ทั่วๆ ไป แล้วฟ้อง สามีว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดา เมื่อฉันกล่าวว่า พ่ออย่าทำอย่าง นี้ๆ พ่อก็โกรธ ท่านจะให้พ่ออยู่ในเรือนนี้หรือจะให้ฉันอยู่. เขาได้ กล่าวกะนางว่า น้องรัก เจ้ายังเป็นยาวอยู่อาจที่จะเป็นอยู่ในที่ใดๆ ก็ได้ พ่อของฉันแก่แล้ว เมื่อเจ้าไม่อาจอดกลั้นแกได้ ก็จงออกจากบ้านนี้ไป นางมีความกลัวหมอบลงแทบเท้าพ่อผัวขอขมาโทษว่า ตั้งแต่นี้ไปฉันจัก ไม่ทำอย่างนี้อีก. แล้วนางก็เริ่มปฏิบัติตามปกติดังก่อน.
ลำดับนั้น อุบาสกตั้งแต่วันที่ถูกภรรยารบกวนบิดาให้เดือดร้อน ก็มิได้ไปฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ต่อเมื่อภรรยาดำรงเป็นปกติแล้ว จึงได้ไป ที่นั้นพระศาสดาตรัสถามเขาว่า อุบาสก เหตุไร? ท่านจึงไม่ มาฟังธรรมถึง ๗ วัน. เขาได้กราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ. พระ- ศาสดาตรัสว่า ในกาลนี้เท่านั้นที่ท่านไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา ไม่ขับ บิดาออกจากเรือน แต่ในกาลก่อนท่านเชื่อถ้อยคำของภรรยาของท่าน นำบิดาไปป่าช้าผีดิบขุดหลุมฝังบิดา เราตถาคตเกิดเป็นบุตรมีอายุ ๗ ขวบ แสดงคุณของมารดาบิดา ห้ามการฆ่าบิดาได้ในเวลาที่จะตาย คราวนั้น ท่านเชื่อฟังถ้อยคำของเรา ปฏิบัติบิดาจนตลอดชีวิต แล้วไปเกิดใน สวรรค์ โอวาทที่เราให้ไว้นี้นั้น แม้ท่านไปเกิดในภพอื่นก็ไม่ละวาง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา ไม่ขับไล่บิดาออก ในบัดนี้ อุบาสกนั้นทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว พระองค์จึงทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร พาราณสี. ณ บ้านของชาวกาสีตำบล ๑ ตระกลแห่ง ๑ มีบุตรน้อย คนเดียว ชื่อสวิฏฐกะ เขาบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาอยู่ ต่อมาเมื่อมารดา ล่วงลับไปแล้ว ก็บำรุงเลี้ยงบิดา เรื่องทั้งหมดต่อไปนี้ เหมือนเนื้อเรื่อง ปัจจุบันนั่นแหละ ในที่นี้จะกล่าวแต่เนื้อความที่แปลก ดังต่อไปนี้ ครั้งนั้น หญิงนั้นกล่าวว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดาเถิด เมื่อฉัน กล่าวว่า อย่าทำอย่างนี้ๆ ก็โกรธ. แล้วกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่นาย บิดา ของท่านดุกับหยาบคาย ก่อการทะเลาะอยู่เรื่อยแกแก่คร่ำคร่า พยาธิ เบียดเบียน ไม่ช้าก็จักตาย ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับแกได้ ในวัน สองวันนี้แกต้องตายแน่ ท่านจงนำแกไปป่าช้าผีดิบขุดหลุมแล้วเอาแกใส่ เข้าไปในหลุม เอาจอบทุบศีรษะให้ตาย เอาฝุ่นกลบข้างบนแล้วจงมา. นายสวิฏฐกะถูกภรรยารบเร้าอยู่บ่อยๆ จึงกล่าวว่า แน่ะหล่อน ขึ้นชื่อว่าการฆ่าคน เป็นกรรมหนัก ฉันจักฆ่าบิดาอย่างไรได้. นาง กล่าวว่า ฉันจักบอกอุบายแก่ท่าน นายสวิฏฐกะกล่าวว่า จงบอกมาก่อน นางจึงบอกว่า ข้าแต่นาย ท่านจงไปที่บิดานอน ในเวลาเช้ามืด ทำ เสียงดังให้คนทั้งหมดได้ยิน แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ลูกหนี้ของพ่อมี อยู่ที่บ้านโน้น เมื่อฉันจะไปแต่ลำพังเขาจะไม่ให้ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว เงินจักสูญ พรุ่งนี้เรานั่งบนยานไปด้วยกันแต่เช้าทีเดียว. ดังนี้แล้วนาย จงลุกขึ้นตามเวลาที่บิดาบอกไว้ เทียมยานให้แกนั่งบนยานแล้วนำไปป่า ช้าผีดิบ ขุดหลุมแล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น ฆ่าแกแล้วผลักลงหลุมทุบ ศีรษะแล้วอาบน้ำมาเรือน. นายสวิฏฐกะคิดว่า อุบายนี้เข้าที. จึงรับคำ ของนางแล้วตระเตรียมยานที่จะไป ก็นายสวิฏฐกะมีบุตรอยู่คนหนึ่งมีอายุ ๗ ขวบ เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม. เขาฟังคำของมารดา จึงคิดว่า มารดา ของเรามีธรรมลามกยุบิดาเราให้ทำปิตุฆาต เราจักไม่ให้บิดาเราทำปิตุ ฆาต. แล้วก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปนอนอยู่กับปู่. ครันได้เวลาที่บิดาบอกไว้ นายสวิฏฐกะเทียมยานแล้วกล่าวว่า มาเถิดพ่อ เราไปสะสางลูกหนี้กัน เถิด. แล้วให้บิดานั่งบนยาน กุมารได้ขึ้นยานก่อนแล้ว นายสวิฏฐกะ ไม่อาจห้ามบุตรได้ จึงต้องพาไปป่าช้าผีดิบด้วย ให้บิดาและกุมารพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งกับยาน ตนเองลงถือจอบและตะกร้า เริ่มจะขุดหลุม ๔ เหลี่ยม ณ ที่ลับแห่งหนึ่ง แม้กุมารก็ลงแล้วไปสำนักบิดาทำเป็นไม่รู้ เริ่มคำพูดกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พ่อมันนก มันเทศ มันมือเสือ และ ผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึง ขุดหลุมอยู่คนเดียวในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตกฺกลา สนฺติ ได้แก่ มันนกก็ไม่มี. มันเทศ ชื่อว่า อาลุปานิ. มันมือเสือ ชื่อว่า วิลาลิโย. ผักทอดยอด ชื่อว่า กลมฺพานิ.
ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคาถาที่ ๒ ตอบบุตรว่า :-
แน่ะพ่อ ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียด เบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ อย่างลำบากเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกพฺยาธีหิ คือ ถูกทุกข์อันเกิดจากพยาธิหลายอย่างเบียดเบียนแล้ว. บทว่า น หิสฺส ต ความว่า เพราะว่า พ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้านั้นมีชีวิตอยู่อย่างลำบากเช่นนั้น พ่อเข้าใจว่า ความตายของปู่เท่านั้นประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่เห็นปานนี้ จึงจักฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม. กุมารได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกึ่งคาถาว่า:-
พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว กระทำ กรรมที่หยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์.
พึงทราบความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พ่อท่านคิดว่า เราจักเปลื้องบิดาออกจากทุกข์ จึงผูกไว้ด้วยมรณทุกข์ ชื่อว่า กระทำ กรรมอันหยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์ เพราะได้ความดำริอันลามก นี้ และเพราะก้าวล่วงประโยชน์ด้วยอำนาจแห่งความดำรินั้นตั้งอยู่. ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ฉวยจอบจากมือบิดา ตั้งท่าจะ ขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งในที่ใกล้ๆ กัน. ลำดับนั้น บิดาจึงเข้าไปถามกุมาร นั้นว่า ลูกรัก เจ้าจะขุดหลุมทำไม? เมื่อกุมารจะตอบบิดา ได้กล่าว คาถาที่ ๓ ว่า :-
ข้าแต่พ่อ เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรม เช่นนี้จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตาม เยี่ยงตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง.
พึงทราบเนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่าข้าแต่พ่อแม้ลูกก็จัก ฝังพ่อเสียในหลุมอีกหลุมหนึ่ง ในเวลาที่พ่อแก่บ้าง อธิบายว่า พ่อ เพราะเหตุนี้แล เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรมเช่นนี้ ในหลุมที่ขุดไว้นี้ จากตัวลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยงตระกูลนั้น คือ ที่พ่อให้ เป็นไปแล้วนั้น คือเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่กินกับภริยา ก็จักฝังพ่อเสียใน หลุมบ้าง.
ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคำถาที่ ๔ แก่กุมารว่า :-
แน่ะพ่อ เจ้ามากล่าวกระทบกระเทียบขู่- เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย เจ้าเป็นลูกที่เกิด แต่อกของพ่อ แต่หาได้มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อไม่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกุพฺพมาโน แปลว่า ขู่เข็ญ. บทว่า อาสชฺช แปลว่า กระทบกระเทียบ. เมื่อบิดากล่าวอย่างนี้แล้วกุมารผู้เป็นบัณฑิต จึงกล่าวคาถา ๓ คาถา คือคาถาโต้ตอบคาถา ๑ คาถา อุทาน ๒ คาถาว่า :-
ข้าแต่พ่อ มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อ แม้ฉันก็มีความเกื้อกูลอนุ- เคราะห์แก่พ่อ แต่เพราะฉันไม่กล้าจะห้ามพ่อ ผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้ จึงได้พูดกระทบ- กระเทียบเช่นนั้น.
ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอัน ลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดา ผู้ไม่ประ ทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึง นรกโดยไม่ต้องสงสัย.
ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดา ด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า เข้าถึง สุคติโดยไม่ต้องสงสัย.
บิดาครั้นได้ฟังธรรมกถาของบุตรดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
แน่ะพ่อ เจ้าจะเป็นผู้ไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่ เจ้าชื่อว่าเป็นผู้มี ความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อแล้ว แต่พ่อถูก แม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรมที่หยาบ- คายเช่นนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหญฺจ เต มาตรา คือ อหปิเต มาตรา อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. กุมารได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ธรรมดาสตรีเมื่อเกิด โทสะขึ้นข่มไว้ไม่ได้เลย จึงทำชั่วบ่อยๆ ควรที่พ่อจะขับแม่ของฉันไปเสีย ไม่ให้ทำชั่วเช่นนี้อีกได้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :-
หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน พ่อจงขับไล่ไปเสียจาก เรือนของตน เพราะแม่จะนำทุกข์อย่างอื่นมา ให้พ่ออีก.
นายสวิฏฐกะได้ฟังคำของบุตรผู้เป็นบัณฑิตแล้ว มีความโสมนัส กล่าวว่า เราไปกันเถิดลูก แล้วขึ้นนั่งบนยานกับบุตรและบิดาไปบ้าน. ฝ่ายหญิงอนาจารนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า คนกาลกรรณีออกจากเรือน เราไปแล้ว. จึงเอามูลโคสดมาทาเรือนหุงข้าวปายาสแล้วคอยแลดูทางที่ ผัวจะมา ครั้นเห็นมาทั้ง ๓ คนก็โกรธว่า พาคนกาลกรรณีที่ออกไป กลับมาอีกแล้ว. จึงคำว่า เจ้าคนร้าย เจ้าพาคนกาลกรรณีที่ออกไปแล้ว กลับมาอีกทำไม? นายสวิฏฐกะไม่พูดอะไรๆ ปลดยานแล้วจึงพูดว่า คนอนาจาร เจ้าว่าอะไร? แล้วทุบนางนั้นเสียเต็มที่ กล่าวว่า แต่นี้ไป เจ้าอย่าเข้ามาเรือนนี้ แล้วจับเท้าลากออกไป ครั้นไล่ภรรยาไปแล้ว ก็ อาบน้ำให้บิดากับบุตร แม้ตนเองก็อาบ แล้วบริโภคข้าวปายาสพร้อมกัน ทั้ง ๓ คน หญิงใจบาปนั้นไปอยู่เรือนผู้อื่นได้ ๒ , ๓ วัน.
ในกาลนั้น บุตรกล่าวกะบิดาว่า ข้าแต่พ่อแม่ฉันคงยังไม่รู้สำนึก ด้วยการถูกลงโทษเพียงเท่านี้ พ่อจงแกล้งพูดว่า จะไปขอลูกสาวลุงใน ตระกูลโน้นมาปรนนิบัติตัวกับบิดาและบุตร เพื่อทำให้แม่ฉันเก้อ แล้ว ถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นขึ้นยานไปเที่ยวอยู่ตามท้องนา แล้ว กลับมาเวลาเย็น. นายสวิฏฐกะได้กระทำตามทุกประการ สตรีในตระกูล ที่คุ้นเคยบอกหญิงนั้นว่า ได้ยินว่า ผัวของเธอไปบ้านโน้น เพื่อนำหญิง อื่นมาเป็นภริยา.
หญิงนั้นสะดุ้งกลัวว่า ฉิบหายละเราคราวนี้ เราไม่มีโอกาสอีก แน่ คิดว่า จะอ้อนวอนบุตรดูสักครั้ง. จึงแอบไปหาบุตร หมอบลง แทบเท้ากล่าวว่า ลูกรัก เว้นเจ้าเสียแล้ว คนอื่นไม่เป็นที่พึ่งของแม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปแม่จะปฏิบัติพ่อและปู่ของเจ้าราวกะพระเจดีย์ที่ประทับไว้ เจ้า จะช่วยให้แม่ได้เข้ามาอยู่ในเรือนนี้อีก. กุมารกล่าวว่า ดีแล้วแม่ ถ้าแม่ ไม่ทำเช่นนี้อีก ฉันจักช่วย แม่อย่าประมาท. ครั้นเวลาบิดามา. ได้ กล่าวคาถาที่ ๑๐ ว่า :-
หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน ซึ่งมีใจบาปนั้น ถูก ทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ แล้ว จงกลับมาเรือนเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาต เป็นต้น ความว่า ข้าแต่พ่อ บัดนี้ หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ ซึ่งก่อเหตุวุ่นวายนั้น ถูกทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ สิ้นพยศแล้ว. บทว่า ปุนราวชาตุ คือ จงกลับมาสู่เรือนนี้อีกเถิด.
กุมารนั้นครั้นแสดงธรรมแก่บิดาดังนี้แล้ว ก็ไปนำมารดามา นางขอขมาโทษผัวและพ่อผัวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ประกอบด้วยธรรม เครื่องข่ม ปฏิบัติผัวพ่อผัวและลูกเป็นอย่างดี สองผัวเมียตั้งอยู่ในโอวาท ของลูก ทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์.
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง ประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม บุรุษผู้เลี้ยงบิดา ได้ดำรงอยู่ใน โสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า บิดาบุตรและหญิงสะใภ้ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นบิดาบุตรและหญิงสะใภ้ในบัดนี้ ส่วนกุมารผู้เป็น บัณฑิตในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาตักกลชาดกที่ ๘