พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้า ๔๓๖
ข้อความบางตอนจาก ทุติยหัตถกสูตร
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้ข้าพระองค์สงเคราะห์บริษัทใหญ่นี้ ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการเหล่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ว่าผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยทาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยทาน ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวานผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็โภคทรัพย์ในตระกูลของข้าพระองค์มีอยู่ชนทั้งหลายจึงสำคัญถ้อยคำของข้าพระองค์ว่าควรฟัง ไม่เหมือนของคนจน. ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔
ข้อความบางตอนจาก
พลสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กำลัง คือ การสงเคราะห์เป็นไฉนสังควัตถุ ๔ ประการนี้ คือ ทาน ๑ เปยยวัชชะ ๑ อัตถจริยา ๑สมานัตตตา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลายการแสดงธรรมบ่อยๆ แก่บุคคลผู้ต้องการ ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก การชักชวนคนผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศรัทธาสัมปทา ชักชวนผู้ทุศีลให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศีลสัมปทา ชักชวนผู้ตระหนี่ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในจาคสัมปทาชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในปัญญาสัมปทา นี้เลิศกว่าการประพฤติประโยชน์ทั้งหลาย พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน พระสกทาคามีมีตนเสมอกับพระสกทาคามี พระ-อานาคามีมีตนเสมอกับพระอนาคามี พระอรหันต์มีตนเสมอกับพระ-อรหันต์ นี้เลิศกว่าความมีตนเสมอทั้งหลาย นี้เรียกว่ากำลัง คือการสงเคราะห์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๔ ประการนี้แล.
ท่านผู้ถาม: วันนี้เป็นครั้งแรกได้มากราบท่านอาจารย์ ได้คุยกับพี่ชัชพัชร์ และคุณป้อมมาหลายปีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดิฉันก็ศึกษามาพอสมควรสำหรับเรื่องธรรม แต่ก็คิดว่า ในชีวิตประจำวันของเรา ก็แค่ถือฆราวาสธรรม สัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ เราก็คบกับผู้คนก็สังคหวัตถุ ๔ มีทาน ปิยวาจา อะไรพวกนี้ เราก็ปฏิบัติอยู่ ทีนี้พอพี่ชัชพัชร์ กับคุณป้อม ชวนมา ดิฉันก็คิดว่า ต้องทำการบ้าน การบ้านของดิฉัน ก็คือดิฉันไม่ได้สนใจเรื่องแสง สี เสียง เหมือนพี่อินทวัชรนะคะ ไม่สนใจเรื่องนั้น แต่ดิฉันจะฟัง youtube ของท่านอาจารย์ทุกวัน นอนฟังทุกวัน ทำการบ้านเตรียมมา ก็จะฟังตลอดว่า ท่านอาจารย์จะมีคำพูดว่า ลึกซึ้งแต่ละหนึ่งๆ ต้องตรง ต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ
ในฐานะที่ดิฉันเป็นอาจารย์สอนพระพุทธศาสนามาเหมือนกัน ก็เชื่อในคำพูด และคำสอนของท่านอาจารย์ เพียงแต่ว่า สงสัยอยู่นิดหนึ่ง คือ เห็น เกิดดับอยู่ตลอดเวลา หมายความว่าเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน แป๊ะหนึ่ง เห็นแล้วก็หายไป แบบนี้ค่ะ ดิฉันก็คิดว่าเข้าใจ อาจจะเข้าข้างตัวเองก็ได้ว่าเข้าใจ ก็เลยอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ที่เรามาศึกษาธรรมกัน พระอภิธรรมใช่ไหม ตามพระไตรปิฎกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม จุดหมายปลายทางของเรานี่ เรา ไม่มีเรา ไม่มีเรานะคะ แต่จุดหมายปลายทางนี่ ...
ท่านอาจารย์: เรา ไม่มีเรา แต่ยังไม่หมดหรอก
ท่านผู้ถาม: ค่ะ ก็คือปัญญาใช่ไหมคะ?
อ.อรรณพ: ปัญญาคืออะไร?
ท่านผู้ถาม: ที่เราต้องการค่ะ เรา ไม่มีเราก็จริง แต่ว่า มีธาตุรู้ มีจิต มีเจตสิก อะไรต่างๆ จุดหมายปลายทาง คือปัญญาใช่ไหมคะ?
อ.อรรณพ: ปัญญาคืออะไรครับ?
ท่านผู้ถาม: ความเข้าใจค่ะ
อ.อรรณพ: เข้าใจอะไร?
ท่านผู้ถาม: เข้าใจ ความรู้ ความรอบรู้ อะไรอย่างนี้ค่ะ
อ.อรรณพ: ปัญญารู้อะไร? ปัญญาคืออะไร?
ท่านผู้ถาม: รู้เรื่องธรรมะ รู้ธรรม รู้สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มีอยู่
อ.อรรณพ: ธรรมะ สิ่งที่เป็นจริงอยู่ที่ไหน?
ท่านผู้ถาม: อยู่ปัจจุบันขณะ ทุกขณะ
อ.อรรณพ: เมื่อตอนต้นๆ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าเราพูดเรื่องธรรม แต่ไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริง แล้วเราอาจคิดว่า เราพูดธรรม เราสนทนาธรรม เราสอนธรรม อะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ธรรม ปัญญารู้อะไร ปัญญาเข้าใจอะไร เราตอบได้โดยคำ โดยเรื่องว่า ปัญญาเข้าใจธรรม แต่ก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองต่อไปอีกว่า ธรรมคืออะไร ปัญญารู้อะไร ตอนนี้เลย ต้องหาตรงนี้ให้เจอ ต้องไตร่ตรองตรงนี้
ปัญญา คือความเข้าใจถูก แต่เข้าใจอะไร ตรงนี้ครับ แล้วท่านจะสนใจเหมือนกับท่านเมื่อตะกี๊นี้ที่ ท่านพล.ต.อินทวัชร กล่าวถึงครับ อย่างเดียวกัน สิ่งที่มีจริง ตอนนี้มีไหมครับ? สิ่งที่มีจริง สิ่งที่เป็นจริง ในภาษาไทย ในภาษาบาลีก็คือ ธรรมะ ขณะนี้มีไหม?
ท่านผู้ถาม: มีค่ะ
อ.อรรณพ: อะไรครับ?
ท่านผู้ถาม: ก็ทุกอย่าง
อ.อรรณพ: ทุกอย่าง เช่น?
ท่านผู้ถาม: ทุกอย่างที่เราเห็นอยู่ โต๊ะ เก้าอี้ ผู้คนต่างๆ คือธรรมะ
อ.อรรณพ: ขณะนี้เห็นอะไร เอาสักอย่าง แล้วท่านจะรู้ว่า ที่ท่าน พล.ต อิทวัชร ท่านกล่าวเมื่อสักครู่เป็นสิ่งที่มีจริง
ท่านผู้ถาม: ต้องยอมรับว่า ตอบได้แค่นี้ ก็เคยพูดกับพี่ชัชพัชร์ ก็ถามอย่างนี้ค่ะ ก็จะตอบว่า พี่ ก็หนูถามพี่ แล้วพี่จะถามหนูทำไม บอกเราอยากรู้คำตอบ
อ.อรรณพ: ต้องไตร่ตรองนะครับ ไม่ใช่ว่าจะมีท่านใดท่านหนึ่ง ข้างใดข้างหนึ่ง แล้วเราก็พูดไปเรื่อยใช่ไหมครับ
ท่านผู้ถาม: ค่ะ
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ถ้าตอบว่า เห็นโต๊ะ ลึกซึ้งไหม? เห็นมือถือนี่ ลึกซึ้งไหม? แต่สิ่งที่บุคคลเห็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นแล้ว
คำในพระไตรปิฎก สิ่งที่เห็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว เพราะเราคิดว่า เราเห็นโต๊ะอยู่ เราเห็น อ.คำปั่นอยู่ เห็นท่านอาจารย์อยู่ นั่นคือความคิดของคนทั่วไป ไม่ลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลเห็นอยู่ คือเขาคิดว่าเขาเห็นคน เห็นโต๊ะ แท้จริงแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นไปแล้วจริงๆ ซึ่งดับไปแล้ว คือสิ่งที่เพียงกระทบตา สิ่งที่เพียงกระทบตา นี่แหละ เป็นธรรมที่ไม่ใช่คน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้
แต่ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งที่กระทบตา แล้วมีการเห็น เห็นแต่ละหนึ่งที่กระทบตา ดับไป เดี๋ยวเห็นอีกหนึ่ง อีกหนึ่ง อย่างนี้แสนโกฏจึงเป็นคน เป็นดอกไม้ พอเห็นปุ๊บก็เป็นดอกไม้ปั๊บ นี่คือความลุ่มลึกของพระพุทธศาสนา ที่แสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ว่า เห็นนี่ เห็นนานไหม?
ท่านผู้ถาม: ไม่นานค่ะ เห็นอย่างนี้ แล้วก็ไปเห็นอย่างอื่น อย่างหลับตา ...
อ.อรรณพ: อย่างเราเห็นดอกไม้นี่ เสี้ยววินาทีไหม วินาทีหนึ่ง?
ท่านผู้ถาม: ไม่ได้นับ
อ.อรรณพ: แต่จริงๆ แล้ว เห็นนี่ สั้นที่สุด ไม่มีระบบเวลาอะไรที่จะสามารถมานับได้เลย เดี๋ยวนี้เขาก็ละเอียด มี mini second หรือ micro second ... แต่ไม่อาจรู้เลยว่า เห็นนี่สั้นที่สุด สุดประมาณ แล้ว เห็นนี่เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ที่เพียงเห็น สั้นที่สุด แล้วก็เห็นอะไร? เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ใครจะเชื่อว่า เห็นดอกกุหลาบ แต่เห็นสีแต่ละหนึ่ง เห็นสีแต่ละหนึ่งๆ ๆ ๆ จึงคิดว่า เป็นดอกกุหลาบ แต่ว่า ขณะที่เห็น เห็นเกิด เห็นเพียงสิ่งหนึ่งที่กระทบตา เล็กที่สุด
ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงปรารถสิ่งนี้บ่อยๆ ตั้งแต่แรกที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนี่แหละ ที่พระองค์ตรัสรู้ เห็นได้ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง และเป็นอณู เล็กที่สุด สั้นที่สุด เห็นก็แสนสั้น สิ่งที่กระทบตาก็เล็กมาก แล้วก็กระทบกับตา ไม่ใช่ตาทั้งดวง แต่เป็นรูปที่เล็กที่สุดที่เกิดจากกรรม เล็กที่สุดไม่มีอะไรจะแบ่งได้แล้ว
นี่ครับ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เราไม่รู้เลย ถ้าเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ชาวบ้านก็รู้กัน
ท่านผู้ถาม: สรุปแล้ว เราเห็นอะไรกันแน่คะ?
อ.อรรณพ: เห็นสิ่งที่กระทบตา ที่ไม่ใช่โต๊ะ แต่ถ้าไม่มีสีแต่ละสีที่กระทบ เห็นทีละสี ทีละสี สีนี่ก็หมายถึงสิ่งที่เพียงกระทบตาเท่านั้น ดับไปอย่างรวดเร็ว เห็นนี่แสนโกฏนับไม่ถ้วน จึงมีการคิด คิดว่า เป็นดอกกุหลาบสักกลีบหนึ่ง แมัดอกกุหลาบก็ต้องทั้งดอกแต่นี่กลีบเดียว
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
สิ่งที่มีจริง หลากหลาย ไม่ใช่อย่างเดียวกัน
ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ขณะนี้
สิ่งที่เห็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว [ขุททกนิกาย มหานิทเทส]
ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...
ปัญญารู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ และกราบยินดีในความดีของท่านพลโทชัชพัชร์ - คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งครับ
ยินดีในกุศลวิริยะของพี่เมตตาด้วยครับ