ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๒
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณา แสดงธรรมให้ทุกคนได้ฟัง ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเอง จนสามารถที่จะรู้ได้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา มิฉะนั้น ก็ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แต่เอ่ยชื่อ ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่คำแรก คือคำว่า ธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
~ นอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อยู่ที่คำ แต่อยู่ที่การเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้จึงระลึกถึงพระคุณซึ่งไม่สามารถที่จะเปรียบได้เลยจากที่ตัวเองเป็นคนโง่ไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ก็สามารถที่จะเกิดความเข้าใจขึ้นได้ในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน นั่นคือ ความนอบน้อมสูงสุด
~ ควรที่จะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม แต่ขอให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องไตร่ตรอง ศึกษา ครบถ้วน ในความถูกต้อง มิฉะนั้น ก็คลาดเคลื่อน ถ้าเข้าใจผิดไป ก็เป็นภัยอย่างยิ่ง
~ ถ้าสามารถที่จะวิรัติ (งดเว้น) วจีทุจริต โดยสติเกิดขึ้นรู้ว่า เป็นวจีทุจริตที่ไม่ควรจะกล่าว แล้วก็อบรมเจริญวจีสุจริต พูดด้วยกุศลจิตมากขึ้น การพูดด้วยกุศลจิตทั้งหมดย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง โดยเฉพาะการที่จะพูดถึงพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด หรือว่าเป็นการสนทนาธรรม เป็นการสอบถามธรรม เพื่อความเจริญยิ่งขึ้นในกุศลธรรม ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า คำพูดต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเป็นคำพูดที่มีประโยชน์ เป็นคำพูดที่เกื้อกูลแก่สหายธรรม
~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
~ ขณะที่พูดไม่ดี จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร? ถ้าจิตดี พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ออกไป จิตเป็นอย่างไร แล้วจิตใคร? แล้วใครจะละความไม่ดีที่สะสมมาในจิตนั้นได้ ไม่ใช่คนอื่นเลยทั้งสิ้น แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ละให้ใครไม่ได้ แต่คำของพระองค์ทุกคำ เป็นธรรมเตชะ (ธรรมเดช) ไตร่ตรองเป็นความจริงทั้งหมดแล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าวันหนึ่งๆ สภาพธรรมที่สะสมมาที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วเข้าใจว่าเป็นเรา นั้น เป็นอะไร ดีมากไหม? ปัญญา มีหรือเปล่า? คิดที่จะละสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า? แม้คิด มีไหม?
~ ตราบใดที่ปัญญาไม่เกิด ตราบนั้นก็ไม่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้ว่า ไม่มีเรา แน่นอน
~ ถ้าเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ความเข้าใจนั้นต่างหากที่จะนำไปสู่กุศลทั้งปวง
~ ชีวิตที่เป็นไปกับเหตุการณ์ ความโลภ ความโกรธ ความทุกข์ต่างๆ นั่น เป็นธรรมดา เป็นของประจำชีวิต แม้นานมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องมีทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ไม่ว่าจะเป็นเพศคฤหัสถ์หรือเพศบรรพชิตก็ตาม
~ ถ้าขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น เป็นการแสดงการปรากฏให้รู้ถึงกิเลสที่มีอยู่ในใจว่า เป็นสังโยชน์ เป็นสิ่งที่ผูกพันท่านไว้ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ลักษณะของความโกรธที่เกิด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าสติระลึกรู้ได้ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีของท่านเอง ขณะนั้นเป็นประโยชน์ เพราะท่านได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่สะสมมาว่า ยังมีกิเลสอะไรอีก มากน้อยเท่าไหร่ ที่ปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริง เพื่อที่จะได้ละ ด้วยการที่สติระลึกรู้ในขณะนั้น
~ เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ สำหรับคำนินทาและสรรเสริญ เมื่อเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ ใครเสียเวลาเร่าร้อนใจ หวั่นไหว ก็เป็นผู้ไม่ฉลาดเลย เพราะเหตุว่า ไม่รู้สภาพธรรมที่เป็นธรรมดาของโลก
~ ถ้าบุคคลนั้นกระทำกายทุจริตหรือวจีทุจริตก็ตาม ทำไมเราจะต้องโกรธ ในเมื่อที่จริงแล้วบุคคลนั้นน่าสงสารที่สุด ที่ว่าเขาจะต้องได้รับผลของกรรม ถ้านึกถึงภาพของบุคคลนั้นที่จะต้องอยู่ในนรก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จะเกิดความกรุณาในผู้กระทำกายทุจริตและวจีทุจริต ในขณะนั้นท่านก็จะไม่โกรธเหมือนกัน เพราะรู้สึกเห็นใจ สงสารจริงๆ
~ เป็นของที่แน่นอนที่สุด คือ เรื่องของกรรม ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน
~ ถ้าท่านผู้ใดรังเกียจกิเลส แม้ว่าจะเล็กน้อยนิดหน่อยสักเท่าไหร่ ถ้ากิเลสใหญ่ๆ ท่านก็ยิ่งจะต้องรังเกียจ แล้วก็ละเว้นมาก เพราะฉะนั้น การขัดเกลาจิตใจก็จะต้องเห็นคุณของการละเว้นกิเลสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเภทเบา ประเภทหนักประการใด ยิ่งมีการอบรมเจริญปัญญา เห็นโทษของกิเลส รังเกียจกิเลสมาก ผู้ใดเว้นโทษเล็กๆ น้อยๆ ได้ ไม่มีคำที่จะต้องกล่าวว่า ผู้นั้นจะต้องเว้นสิ่งที่หนักที่มีโทษมาก
~ ที่ยังไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะยังมีความเป็นตัวตน สำคัญตน รักตนมากกว่าการรู้ความจริงและมากกว่าการเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ จะนอบน้อมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์ ปัญญาไม่กลัว ปัญญาจะไม่ทำสิ่งที่ผิดเลย เพราะมีการรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หมายความว่า ขณะนั้น ไม่ใช่ปัญญา
~ ถ้าเป็นผู้ที่ฉลาดจริงๆ ย่อมค้นหาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่รู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ก็หากุศลของคนอื่นเพื่อที่จะได้อนุโมทนา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่น และเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษ จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น
~ ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป
~ ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะมากที่จะต้องขัดเกลา จะทำให้ไม่ละเลยในการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย เพราะว่า ความประมาทย่อมพลิกชีวิต จากความเจริญไปสู่ความเสื่อมได้ จากการเป็นมนุษย์ ในชาตินี้ ไปสู่การเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์ในนรก ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือเย็นนี้ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท
~ ต้องไม่ลืมสัจจบารมี เป็นคนที่ตรง เพราะอนาคตยังอีกยาวไกลมาก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่มีทางที่จะเป็นชาวพุทธได้ แล้วการที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ต่างคนต่างคิดไม่ได้ ต้องตามพระธรรมวินัย
~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ทุกขณะเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่อนัตตา เห็นก็เป็นอนัตตา ได้ยินก็เป็นอนัตตา คิดนึกก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตา จึงยึดถือว่าเป็นเรา
~ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศลสิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้นคืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่าง ก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ
~ ถ้าได้พิจารณาตัวเองอย่างละเอียด แล้วเห็นอกุศลธรรม เห็นกิเลสของตนเอง ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท และจะไม่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าคิดว่าดีพอแล้ว กุศลธรรมก็ทำมากแล้ว ก็จะไม่ทำให้เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างกุศลและอกุศล โดยสภาพของความเป็นปุถุชน กุศลมากเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
~ วันทั้งวันโอกาสของกิเลสมีมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะได้ฟังพระธรรมหรือการพิจารณาธรรม หรือสนทนาธรรม เป็นแต่เพียงโอกาสที่สั้นและเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่เกิดไม่ฟังหรือเกิดการสนใจน้อยลง จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นการเปิดช่องให้กิเลสซึ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เพิ่มโอกาสที่จะมีกำลังขึ้นอีกจากการไม่ฟังธรรม จากการไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนาธรรม
~ จะไม่ละเลยโอกาสของการทำดีแม้เพียงเล็กน้อย เพราะเห็นคุณของความดี
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
เชื่อในสัจจบารมี เชื่อในคำของพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเดินตามรอยพระบาทของพระศาสดาพระตถาคต
กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์
กราบขอบพระคุณท่านครับ สาธุและอนุโมทนาให้ความเข้าใจขั้นการฟัง อิติโส ภควาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ