ขอเรียนสอบถามท่านอาจารย์ครับ
พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ทำไมถึงต้องเป็น ๔ คู่ ๘ บุคคล และ ๔ คู่ ๘ บุคคล หมายถึงท่านใดบ้างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถดับกิเลสได้ ตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ
พระอริยสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๔ ระดับขั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอหันต์ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก็คือ ขณะที่มรรคจิต และ ผลจิต เกิดขึ้นเป็นไป นั้นเอง ครับ เรียกตามขณะจิต ได้ ๘ คือ มรรคจิต ๔ และ ผลจิต ๔ เมื่อมรรคจิต เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้ผลจิต เกิดสืบต่อทันดี ไม่มีจิตอื่นคั่น จึงกล่าวเรียกว่า พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล
หมายความว่า เมื่อนับโดยคู่ ได้ ๔ คู่ ได้แก่
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นที่ ๑
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็นคู่ที่ ๒
อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นคู่ที่ ๓
อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นคู่ที่ ๔
ถ้านับเรียงโดยบุคคลได้ ๘ บุคคล คือ
๑. โสดาปัตติมรรค
๒. โสดาปัตติผล
๓. สกทาคามิมรรค
๔. สกทาคามิผล
๕. อนาคามิมรรค
๖. อนาคามิผล
๗.อรหัตตมรรค
๘. อรหัตตผล
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้ ครับ
"การให้ผลของโลกุตตรกุศลให้ผลทันที ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเพราะกุศลและอกุศลอื่นๆ ยังต้องรอภพชาติ เช่น ผู้อบรมเจริญสมถภาวนา และฌานจิตเกิด ยังไม่สามารถที่จะเป็นพรหมบุคคลในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เวลาที่ฌานจิตไม่เสื่อม เกิดก่อนจุติจิต เมื่อจุติจิตดับ ทำให้ปฏิสนธิจิตที่เป็นรูปาวจรจิต ถ้าเป็นผลของรูปฌานกุศล หรือว่าอรูปาวจรจิตซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของอรูปาวจรกุศลเกิดขึ้นในรูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคล
นั่นยังต้องคอยกาลเวลาที่จะให้ผล แต่กุศลประเภทเดียวซึ่งไม่คอยกาลที่จะให้ผลเลย คือ โลกุตรกุศล ทันทีที่โลกุตตรกุศลจิตดับ โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที ให้ผลโดยที่ไม่มีกาลระหว่างคั่นเลย ไม่ต้องทำปฏิสนธิกิจด้วยนะคะ สำหรับโลกุตตรวิบาก
เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลส โสตาปัตติผลจิตเกิดต่อ มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสแล้ว ในขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นผลจิต นี่เป็นคู่ที่ ๑
ซึ่งใช้คำว่า พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคคล ก็ได้แก่ พระโสดาบันบุคคลซึ่งโสตาปัตติมรรคจิตเกิดแล้วดับไป โสตาปัตติผลจิตเกิดสืบต่อ นี่ก็เป็น ๑ คู่ ๒บุคคล
และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป สกทาคามิมรรคจิตเกิดขึ้น ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ชั่วขณะจิตเดียวที่ดับกิเลส ตามขั้นของพระสกทาคามีบุคคล ดับไปแล้ว สกทาคามิผลจิต ซึ่งเป็นโลกุตรวิบากจิตเกิดสืบต่อ ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสขั้นของสกทาคามีบุคคล
เมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป โลกุตตรจิตซึ่งเป็นอนาคามิมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสตามขั้นของอนาคามีบุคคล เมื่ออนาคามมิมรรคจิตดับไป อนาคามิผลจิตก็เกิดต่อ
และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป ก็จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยที่อรหัตตมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสที่เหลือทั้งหมด เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะนั้น เมื่ออรหัตตมรรคจิตดับไปแล้ว อรหัตตผลจิตก็เกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสทั้งหมดแล้ว เป็นพระอรหันตบุคคล
รวมเป็นพระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล
แล้วเฉพาะจิต ๘ ดวงนี้ จำแนกเป็นโลกุตตรจิต เพราะเป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ และดับกิเลส"
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
กราบยินดีในกุศลยิ่งค่ะ