ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๗
โดย khampan.a  5 พ.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 46919

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่าน อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๗



~ ขณะใดที่เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนั้น รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ถ้าไม่รู้คุณจะบูชาได้ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณแล้ว ทุกอย่างที่กระทำ ก็กระทำด้วยการที่จะเป็นไปเพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของทุกคนที่ตรงตามพระธรรมวินัย ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ที่จะตรัสแต่ละคำ เป็นประโยชน์กับผู้ฟัง ทำให้กลับจากความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก หรือจากความไม่รู้มาเป็นความรู้ ใครสามารถจะทำได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดไหม ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้คุณ เพราะเข้าใจธรรม
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ผู้ศึกษารู้จักตัวเอง มีใครบ้างที่จะสอนคนอื่นให้รู้จักตัวเองโดยถ่องแท้ทุกขณะจิตได้ ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะคิดนึก จะเกิดความโลภ จะเกิดความโกรธ หรือจะเกิดความเมตตากรุณาต่างๆ ไม่มีผู้ใดสามารถแสดงความจริงที่แทงตลอดไปถึงการสะสมของจิตของ แต่ละบุคคลได้ และยังชี้ให้เห็นถึงโทษของอกุศล ประโยชน์ของกุศล ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นที่จะรู้ว่ากิเลสคืออะไร และมีมากน้อยแค่ไหน จนกระทั่งสามารถให้ปัญญาความรู้ถูกที่เพิ่มขึ้นนั้น ละคลายกิเลสได้
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตามไม่เข้าใจธรรมพูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละคำที่เป็นพุทธพจน์ คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เป็นคำจริงซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม ยังต้องลงมาเฝ้าทูลถามปัญหากับพระองค์ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครจะเปรียบพระองค์ได้ในพระปัญญาคุณ
~ มีชีวิตอยู่ทุกวันไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่าใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้
~ เกิดมาแล้ว ก่อนจะจากโลกนี้ไป สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ดีกว่าเกิดมาสุขทุกข์ชั่วคราว ลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยวมีเดี๋ยวหมด แล้วก็จากโลกนี้ไป เอาอะไรไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไร นอกจากว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจว่า มี แต่แล้วก็ไม่มี
~ พระพุทธศาสนาไม่ได้สาธารณะกับคนทั่วไป แต่ต้องเป็นคนที่สะสมมาที่จะเป็นคนตรง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด แล้วถูกอย่างไร ผิดอย่างไร ไม่ใช่เอาตัวเองตัดสิน แต่ต้องเป็นความเป็นจริงของสิ่งนั้น ซึ่งก็คือ ธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่าผู้ที่นับถือธรรม ก็คือ ผู้ที่นับถือความถูกต้อง ความตรง และความจริงต่อสิ่งที่มีจริง
~ ผลของการเบียดเบียนสัตว์อื่น บุคคลอื่นให้เดือดร้อน ท่านเห็นผลอยู่แล้วในชาตินี้ คือ บุคคลที่อายุสั้นก็มี บุคคลที่มีโรคภัยไข้เจ็บมากก็มี ซึ่งจะต้องมาจากอกุศลกรรมในอดีตที่เป็นการกระทำการเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อนทางกาย ท่านเองก็ไม่ทราบว่า วันไหนจะได้รับผลของอกุศลกรรมในอดีตที่ได้กระทำไว้แล้ว และคงจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่เคยได้รับผลของอกุศลกรรมทางกาย มีการเจ็บปวด ป่วยไข้ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นผลของอกุศลกรรมทั้งสิ้น
~ ธรรมที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ ไม่ให้โทษเลย ก็คืออโลภะ ไม่ติดข้อง ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยจะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหา ไม่เดือดร้อนเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่ติดข้อง แต่แสนยาก เพราะติดข้องมานานแสนนาน มีหนทางเดียวคือ ปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง
~ สิ่งที่อยู่ข้างนอกที่น่าพอใจไม่สามารถเข้าไปอยู่ข้างในได้ แต่กิเลสตามเข้าไปถึงใจ ทั้งๆ ที่สิ่งที่น่าพอใจอยู่ข้างนอก แต่ความยินดีพอใจเข้าไปถึงในใจ แล้วไม่ออกด้วยจนกว่าจะได้รู้แจ้งสภาพธรรม ที่จะทำให้กิเลสที่มีอยู่มากมายหนาแน่นพลัดพรากจากไป ไม่กลับมาอีกเลย โล่งใจไหม?
~ เป็นความจริงที่จะต้องจาก ที่จะพลัดพรากไป หมดสิ้นด้วยความตายในชีวิตนี้ขณะนี้ท่านก็พอจะระลึกได้ว่า ผู้เป็นที่รักเหล่านั้น ใครจากพรากไปบ้างแล้ว และหายไปไหน ไม่เหลือเลย เหลือแต่เยื่อใย หรือว่าความผูกพันซึ่งก็จะเป็นความผูกพันเป็นความติดข้อง เป็นโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่งชาติหนึ่งเรื่อยๆ ถ้าท่านไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง) จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) จริงๆ ตามลำดับขั้น โลภะไม่มีทางที่จะหมดไปได้โดยวิธีอื่น
~ ก่อนจะจุติ บางคนอาจจะมีโลภะมาก บางคนอาจจะมีโทสะมาก บางคนอาจจะมีกุศลมาก ก็เหมือนกับก่อนจะตายเหมือนกัน คือ ก่อนจะตายคนที่โกรธจัดๆ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้โกรธจัด โกรธรุนแรงเมื่อยังไม่ตาย และเมื่อกำลังจะตาย ถ้ามีเหตุปัจจัยให้โทมนัสเกิดอย่างรุนแรง ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเหมือนกับก่อนจะตายก็ยังมีโทสะได้แรงกล้าถึงอย่างนั้น ฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดต่อจากนั้น ก็ย่อมเป็นไปได้
~ เวลาที่โลภะเกิด มีความพอใจ ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม จะไม่สละสิ่งนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ นี้ ช่างสละน้อยจริงๆ และที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ขณะที่โลภะเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นมีการไม่สละ ทุกอย่างสละไม่ได้ในขณะที่พอใจ
~ ขณะใดที่เราโกรธใครก็ตาม ขณะนั้นไม่ใช่เมตตา เพราะว่าเมตตาเป็นสภาพที่ตรงกันข้ามกับโทสะ เวลาที่เราเห็นใครสักคนในที่นี้ เราเคยดูหมิ่น ดูถูก หรือว่า มีความสำคัญตนไหม ถ้าขณะนั้นมีความดูถูกดูหมิ่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่เมตตา
~ วันนี้ทุกคนคงจะมีความไม่พอใจบ้าง แม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น ความขุ่นเคืองใจนิดเดียว ก็เป็นสภาพธรรมที่ภาษาบาลีใช้คำว่า โทสะ หรือเวลาที่เห็นคนอื่นและมีจิตใจเอื้อเฟื้อ มีความเป็นมิตร มีความหวังดีเกื้อกูล ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตัวท่านบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา
~ ในแต่ละวันจะไม่พ้นจากสภาพธรรมสักขณะเดียว ขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่า เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสัจจธรรม เป็นของจริง เป็นสิ่งซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จึงอยู่ในความหมายของอนัตตา เพราะว่าพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญที่ไม่เหมือนกับศาสนาอื่น คือ อนัตตา
~ แม้ความคิดก็เป็นอนัตตา ทุกคนอยากจะคิดดีๆ หรือเปล่า อยากจะมีเมตตามากๆ อยากจะเป็นผู้มีความดี แม้ความคิดก็อยากจะคิดดี แต่บางครั้งเวลาคิดถึงคนอื่น คิดดูถูกบ้างไหม คิดเหยียดหยาม คิดดูหมิ่น คิดรังเกียจ คิดแบ่งชั้นวรรณะ หรือคิดโกรธเคืองเขาบ้างหรือเปล่า?
~ ไม่เหลืออะไรในโลกนี้ที่จะตามไปได้เลย โลกก่อนมีเยอะใช่ไหม? มีอะไรบ้าง? โลกก่อน มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีทรัพย์สมบัติ แล้วพ่อแม่เพื่อนฝูงพี่น้องทรัพย์สมบัติของโลกก่อนชาติก่อนอยู่ไหน ตามมาชาตินี้ได้หรือเปล่า?
~ เกิดแล้วต้องตาย ไม่เหลืออะไรเลย จะช้าหรือเร็วก็ตามแต่ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ กายนี้ยังสามารถที่จะเคลื่อนไหวทำอะไรได้ ก็ขอให้เป็นการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นความดี



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๖


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 5 พ.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 5 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Jans  วันที่ 5 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย panasda  วันที่ 5 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย shsso2551  วันที่ 5 พ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Lai  วันที่ 5 พ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaturong  วันที่ 6 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย j.jim  วันที่ 6 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ไพรศรี  วันที่ 6 พ.ย. 2566

อนุโมทนา สาธุครับ.


ความคิดเห็น 10    โดย Wisaka  วันที่ 6 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย เมตตา  วันที่ 6 พ.ย. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย เมตตา  วันที่ 6 พ.ย. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย เมตตา  วันที่ 6 พ.ย. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย เมตตา  วันที่ 6 พ.ย. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 6 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 16    โดย มังกรทอง  วันที่ 6 พ.ย. 2566

แจ่มแจ้งยิ่ง พึงฟัง (อ่าน) บ่อยๆ พร้อมไตร่ตรอง จนเข้าใจ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 17    โดย nattawan  วันที่ 11 พ.ย. 2566

มีชีวิตอยู่ทุกวันไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่าใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

ยินดีในกุศลจิตอ.คำปั่นค่ะ