พอดีค้นหาแล้วไม่เจอครับจึงอยากทราบว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไรบ้างครับผม ทำไม สังขาร และ วิญญานจึงมีมาก่อนนามรูปครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็จะต้องเข้าใจ คำว่า ปฏิจจสมุปบาท ก่อนครับ ว่าคืออะไร
ปฏิจจสมุปบาท เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือเป็นไปตามลำดับโดยอาศัยปัจจัย หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์ เป็นการแสดงเรื่องของปัจจัย (เหตุ) และปัจจยุบบัน (ผล)
ปฏิจจสมุปบาทมีองค์ ๑๒ คือ ... ๑. อวิชชา ๒. สังขาร ๓. วิญญาณ ๔. นามรูป ๕. สฬายตนะ ๖. ผัสสะ ๗. เวทนา ๘. ตัณหา ๙. อุปาทาน ๑๐. ภพ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ความเป็นปัจจัยของปฏิจจสมุปบาท คือ ...
๐๑. อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
๐๒. สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
๐๓. วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
๐๔. นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ
๐๕. สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ
๐๖. ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
๐๗. เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
๐๘. ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน
๐๙. อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิดภพ
๑๐. ภพ เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ
๑๑. ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึงอะไร
สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่หมายถึง ร่างกาย ไม่ได้หมายถึง สังขารธรรม คือ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งหมด ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม และไม่ได้หมายถึง สังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ ที่เป็นเจตสิก ๕๐ ประเภท แต่คำว่า สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง อภิสังขาร คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นกรรม ครับ
ดังนั้น อภิสังขาร จึงเป็นกุศลเจตนา คือ กุศลกรรมระดับต่างๆ และอภิสังขารยังหมายรวมถึง อกุศลเจตนา คือ อกุศลกรรมทั้งหมดด้วยครับ ดังนั้น สังขาร ที่เป็นอภิสังขารจึงเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้เกิดวิบาก จึงมี ๓ ดังนี้
๑. เจตนาที่เป็นไปในกุศลขั้นกามาวจรและกุศลขั้นรูปาวจรกุศล
๒. เจตนาที่เป็นไปในอกุศลกรรม
๓. เจตนาที่เป็นในกุศลขั้นอรูปาวจรกุศล
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...
อภิสังขาร ๓ [สังคีติสูตร]
ส่วนคำว่า วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง จิตที่เป็นผลของกรรม ไม่ได้หมายถึง จิตทุกประเภท แต่เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม คือ ปฏิสนธิวิญญาณ (ปฏิสนธิจิต) คือ ขณะที่เกิด รวมทั้ง ทวิปัญจวิญญาณ คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้
ดังนั้นคำว่า สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ก็คือ เพราะมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำมา (สังขาร) ก็ย่อมทำให้มีการให้ผลของกรรม มีการเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ทำให้เกิดในภพภูมิต่างๆ เพราะมีการทำกรรมที่เป็นสังขาร
ดังนั้น ขณะที่เกิด ที่เป็นปฏิสนธิจิต เป็นผลมาจาก สังขาร คือการกระทำกรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ให้ผล ทำให้เกิดนั่นเองครับ และกรรมที่ทำที่เป็นกุศล อกุศลกรรม ก็ยังให้ผล ในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ซึ่งขณะที่เห็น เป็นต้น เป็นวิญญาณ คือที่เป็นผลของกรรม ที่เกิดจากสังขาร คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ทำนั่นเองครับ
ส่วน นามรูป ในปฏิจจสมุปบาท มุ่งหมายถึง นาม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย กับจิตชาติวิบาก (ปฏิสนธิวิญญาณ และ ทวิปัญจวิญญาณ ที่เป็น วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท)
ส่วน รูป หมายถึง รูปที่เกิดจากกรรม ที่เป็นกัมมัชรูป มีหทยรูป จักขุปสาทรูป (ตา) โสตปสาทรูป (หู) ฆานปสาทรูป (จมูก) ชิวหาปสาทรูป (ลิ้น) กายปสาทรูป (กาย) ดังนั้น วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป คือ เมื่อมีการเกิด ปฏิสนธิวิญญาณ (วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท) ย่อมมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย กับ ปฏิสนธิจิตนั้น ดังนั้น เพราะอาศัยปฏิสนธิจิต จึงเกิดเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยที่เกิดพร้อมกัน นั่นคือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ตัวเจตสิกนั้น เป็นนาม อันเป็นผลมาจาก วิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต และเมื่อปฏิสนธิจิตเกิด ก็ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกับ ปฏิสนธิจิตนั้น คือ กัมมชรูป ที่เป็น หทยรูป และ กายปสาทรูป ดังนั้น วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป จึงหมายถึง วิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต เป็นปัจจัยให้เกิดนาม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับปฏิสนธิจิตนั้นและเกิดรูปในขณะนั้น คือ หทยรูป และ กายปสาทรูป ที่เป็นกัมมชรูปในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า ทำไม สังขาร และ วิญญาณจึงมีมาก่อนนามรูปครับ
- เพราะ การจะเกิด นาม รูปที่เป็นเจตสิก และ กัมมชรูป รูปที่เกิดจากกรรม (นามรูป) จะต้องมี ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ (วิญญาณ) ถ้าไม่มีการเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ก็ไม่มี เจตสิก และ รูปเลย และ ปฏิสนธิจิต หรือ ปฏิสนธิวิญญาณ (วิญญาณ) ที่เป็นการเกิด ที่สมมติว่าเป็นคน เป็นสัตว์เกิด จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยกรรมในอดีตที่ทำเป็นปัจจัยที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรม เพราะฉะนั้น จึงต้องมีสังขาร คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นตัวกรรม เจตนาเจตสิกที่เป็นในกุศลกรรม อกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว ให้ผล เกิดปฏิสนธิจิต (วิญญาณ) ทำให้เกิดเป็นคน เป็นสัตว์ ในภพภูมิต่างๆ
เพราะฉะนั้น สังขาร มาก่อนวิญญาณ เพราะ จะต้องทำกรรมดี กรรมไม่ดี จึงเกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต คือ การเกิด และ วิญญาณมาก่อนนามรูป เพราะ มีปฏิสนธิจิต จึงมีนาม คือ เจตสิกเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น และ จึงมีรูปที่เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้นได้ ถ้าไม่มีการเกิดเลย ก็ไม่มีนามรูปเลย ครับ นี่คือความเป็นปัจจัยของกันและกัน
แต่ที่สำคัญที่สุดที่มีการทำกรรมดี กรรมชั่ว มีการเกิด และมีนามรูป มีร่างกาย และจะต้องประสบทุกข์ต่างๆ มากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ตามปฏิจจสมุปบาทอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดง หนทางการละอวิชชา ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
กราบขอบพระคุณ อาจารย์มากครับ ที่อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทให้รู้ครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ซึ่งชาติก่อนๆ อย่างนับไม่ถ้วนก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว เคยเกิด เคยแก่ เคยเจ็บ เคยตาย เคยสุข เคยทุกข์มาแล้วทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ นามธรรม และรูปธรรม เหตุที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด สังสารวัฏฏ์ยังเป็นไปอยู่ ก็เพราะยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์ จะยังหมดสิ้นไปไม่ได้ เนื่องจากว่ายังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีกอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ เพราะยังเป็นผู้มีกิเลส ยังละกิเลสอะไรๆ ไม่ได้ เมื่อได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ก็จะทำให้เป็นผู้มีความมั่นคงในความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิกและรูป เลย มีอยู่เพียงเท่านี้เอง หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละคลาย ขัดเกลากิเลส จนกว่าจะสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นนั้น ก็ต้องเป็นหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา สังสารวัฏฏ์ จะหมดสิ้นได้ ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เพราะสังขาร เป็นเหตุทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป นามรูปต้องอาศัยวิญญาณ วิญญาณก็ต้องอาศัยสังขารเป็นปัจจัย เพราะ ธรรมเป็นเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมอย่างนั้น ค่ะ
ขอบพระคุณในคำอธิบายค่ะ
ขอสอบถามเพิ่มเติมนะคะ อยากทราบความหมายของคำว่า ภพ กับ ชาติ ค่ะ
ความหมายต่างกันอย่างไรคะ บางครั้งได้ยินควบกันว่า เกิดภพชาติต่อไป เลยเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกัน แล้วมีลิงก์อธิบายความของปฏิจจสมุปปบาท แบบเต็มรูปแบบมั้ยค่ะ คือมีคำอธิบายในแต่ละข้อ แล้วเกี่ยวเนืองให้เกิดสิ่งนี้ๆ นะค่ะ
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปฏิจจสมุปบาท" คือ ความเป็นไปของสังสารวัฏฏ์ (โดยมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น) เมื่อสิ่งนี้มี จึงมีสิ่งนี้ เช่น เมื่อมีอวิชชาก็มีการเกิด จะไม่มีไม่ได้ เป็นต้น
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
เรียนความเห็นที่ 7
ถ้าเป็นเรื่อง ชาติในปฏิจจสมุปบาทนั้น
ก็ต้องเข้าใจครับว่า อะไรเป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ ภพ ในที่นี้ มุ่งหมายถึง กัมมภพ ที่เป็น กรรมที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติในที่นี้ จึงมุ่งหมายถึง วิบากจิตและเจตสิก ที่เป็นปฏิสนธิจิตนั่นเองครับ และเจตสิกชาติวิบากที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นขณะแรก และรวมถึงรูปที่เกิดร่วมด้วยในขณะแรกของปฏิสนธิจิต ที่เป็นกัมมชรูป ส่วนลิงก์โดยละเอียดแต่ละองค์ เป็นปัจจัยโดยทั้งหมด ยังไม่มี ครับ มีบางส่วนดังนี้
อวิชชาและสังขารในปฏิจจสมุปปาบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
ทำไมเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป
ชาติในปฏิจจสมุปบาท
กราบอนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณค่ะอาจารย์
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ