โลกุตตรจิต ๔๐ ดวง
ฌานลาภีบุคคล คือ ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนแคล่วคล่องชำนาญยิ่งนั้น ขณะใดที่ฌานจิตขั้นหนึ่งขั้นใดเกิด กามาวจรญาณสัมปยุตตจิตก็เกิดสลับระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมขณะนั้น เมื่อปัญญาพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น ชัดแจ้งขึ้น ก็ย่อมละคลายความยึดถือเห็นผิดว่าเป็นตัวตนลง เมื่อโลกุตตรจิตขั้นใดเกิดขึ้นพร้อมกับองค์ของฌานขั้นใด โดยมีฌานขั้นนั้นเป็นบาท (คือ เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน) ก็เป็นมัคคจิตและผลจิตที่เป็นโลกุตตรฌานขั้นนั้นๆ ฉะนั้น จึงเป็นโลกุตตรจิต ๔๐ ดวง
โสตาปัตติมรรค ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
โสตาปัตติผล ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
สกทาคามิมรรค ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
สกทาคามิผล ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
อนาคามิมรรค ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
อนาคามิผล ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
อรหัตตมรรค ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
อรหัตตผล ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ ปัญจมฌาน ๑
มัคคจิตทั้ง ๔ ดวงนั้น เกิดขึ้นได้เพียงขณะเดียวเท่านั้นในสังสารวัฏฏ์แต่โลกุตตรฌานวิบาก คือ ผลจิตนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้อีกเมื่อบุคคลนั้นมีฌานจิตคล่องแคล่วเป็นปัจจัยให้โลกุตตรฌานวิบากจิตเกิดขึ้นได้อีกวาระอื่นๆ โลกุตตร-ฌานจิตที่เกิดในวาระหลังๆ ไม่ใช่ในมัคควิถีซึ่งดับกิเลสนั้น เป็น "ผลสมาบัติ" เพราะเป็นโลกุตตรฌานวิบากจิต (ผลจิต) ที่เกิดดับสืบต่อกัน โดยไม่มีจิตอื่นเกิดแทรกคั่นเลย ในระหว่างที่กำลังเป็นผลสมาบัติอยู่นั้น
ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ