"ต้องภาวนาให้จิตสงบ นิ่ง ว่าง เป็นอุเบกขา สักแต่ว่ารู้ ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้นก็ภาวนาต่อไป ถ้าออกไปรับรู้อะไรก็ดึงกลับเข้ามาหาตัวรู้ หาความสงบ หาความว่าง อย่าตามไป พอออกจากความสงบ ก็อย่าไปทำภารกิจอื่น ออกมาก็มาเจริญปัญญาเลย พิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา ในสภาวธรรมต่างๆ ที่ยังมีความผูกพัน มีความยึดติดอยู่ ยังรักยังชอบอยู่ ยังหวงอยู่ยังห่วงอยู่ พิจารณาให้เห็นว่าเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด ไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่กับเราไปตลอด ให้คิดอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญ ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสที่กำลังยึดติดกันอยู่นี้ จะมีวันหนึ่งที่จะไม่สามารถเสพรูปเสียงกลิ่นรสได้ เช่นเวลาแก่ลงไป ตาก็ไม่ดีหูก็ไม่ดี เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต จะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปไม่ได้ ตอนนั้นจะมีแต่ความทุกข์ถ้าอยากไปเที่ยว ถ้าพิจารณาแล้วตัดความอยากได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไปเที่ยวไปไหนไม่ได้ ก็จะไม่เดือดร้อน อยู่ในสมาธิสบายกว่า สุขมากกว่า"
จากข้อความที่คัดลอกมาจากพระท่านหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุใดครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำสอนใดที่ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่สอนให้ทำ สอนให้จดจ้อง มีคำต่างๆ มากมาย แต่ไม่ได้กล่าวให้เข้าใจว่า คืออะไร นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถูกต้องตามความเป็นจริง คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดครับ.
ขออนุโมทนาครับ