กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
อยากเรียนถามว่า เทพเทวดาทั้งหลาย มีความสามารถในการล่วงรู้บุญกรรมของตนได้ว่าบุญกรรมใดในอดีตที่ตนได้กระทำแล้ว เป็นเหตุส่งผลให้ตนได้รับกุศลวิบากบนสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้อย่างนี้ๆ ไม่ทราบว่า ท่านทราบได้ด้วยอะไร เพราะเหตุใด หรือว่าเมื่อปฏิสนธิเป็นเทพแล้ว จะได้กัมมัสสกตาญาณด้วย แล้วที่ท่านล่วงรู้นี้ ท่านล่วงรู้ก็ไม่ได้ละเอียดใช่ไหม แล้วอย่างมนุษย์เราบางคน ที่เขาว่ามีญาณทิพย์อะไรที่ว่า (ที่ท่านรู้จริงๆ ไม่ใช่หมอดู) ทั้งๆ ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ หรืออาจไม่เคยได้ฌานด้วยซ้ำ แต่ก็มีการล่วงรู้ว่า ผู้นี้ทำกรรมนี้หรือ ฯลฯ ท่านเหล่านั้นล่วงรู้ได้อย่างไร เคยได้ยินว่า เพราะในอดีตเคยบำเพ็ญญาณ จนได้กัมมัสสกตาญาณมา มาชาตินี้จึงติดมาด้วย ข้อนี้จริงเท็จประการใด ครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น การที่จะเกิดเป็นอะไร ในภพไหนนั้น ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมเป็นผู้จัดสรร ถ้าเป็นผลของกรรมดีก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์
สำหรับประเด็นคำถาม เทพเทวดาทั้งหลาย มีความสามารถในการล่วงรู้บุญกรรมของตนได้ว่า บุญกรรมใดในอดีตที่ตนได้กระทำแล้ว เป็นเหตุส่งผลให้ตนได้รับกุศลวิบากบนสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้อย่างนี้ๆ ไม่ทราบว่า ท่านทราบได้ด้วยอะไร
- ตามความเป็นจริงแล้ว เทวดา ก็สามารถที่จะรู้ได้ ว่าชาติก่อนไปทำอะไรมาจึงได้มาเกิดในสวรรค์ เพราะการเกิดเป็นเทวดา เกิดผุดขึ้นทันที (โอปปาติกะ) ช่วงระหว่างบุคคลใหม่กับบุคคลเก่าต่อเนื่องกันทันที เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ได้ จำได้ตามวิสัยของตนๆ แม้แต่ผู้ที่เป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเปรต และพวกอสุรกาย จำพวกโอปปาติกกำเนิด (เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที) ก็สามารถที่จะระลึกถึงกรรมในอดีตชาติของตนเองได้ กล่าวคือ จำได้ว่าตนเองกระทำกรรมอะไรมา จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นอย่างนี้ เพราะยังมีเหตุที่ทำให้เกิดในภพต่างๆ คือ กิเลส ย่อมมีการเกิดอยู่ร่ำไป เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ชาติก่อนๆ ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ทุกอย่างผ่านพ้นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ ประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว คือ ควรที่จะเจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุใหม่ที่ดี เพราะเหตุว่า ชาตินี้อกุศลก็ยังมีมาก อีกทั้งปัญญาก็ยังไม่ได้เจริญขึ้น ถ้าหากว่าไม่เริ่มในชาตินี้ ขณะนี้ ชาติหน้าต่อไป ก็จะเป็นอย่างนี้อีก คือ เป็นผู้มากไปด้วยอกุศล และไม่มีปัญญา ดังนั้น ขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่เริ่มตั้งตนไว้ชอบ ในการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อละคลายความไม่รู้ ต่อไป ครับ.
แล้วอย่างมนุษย์เราบางคน ที่เขาว่ามีญาณทิพย์อะไรก็ว่า (ที่ท่านรู้จริงๆ ไม่ใช่หมอดู) ทั้งๆ ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ หรืออาจไม่เคยได้ฌานด้วยซ้ำ แต่ก็มีการล่วงรู้ว่า ผู้นี้ทำกรรมนี้ หรือ ฯลฯ ท่านเหล่านั้นล่วงนี้รู้ได้อย่างไร เคยได้ยินว่า เพราะในอดีตเคยบำเพ็ญญาณ จนได้กัมมัสสกตาญาณมา มาชาตินี้จึงติดมาด้วย ข้อนี้จริงเท็จประการใดครับ
- พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องจริง ตรง ทำให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง ใครจะพูดอะไรด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง หรือเชื่อตามๆ กันมา ก็จะตั้งมั่นในความถูกต้องและยังสามารถอธิบายให้ผู้อื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วย ไม่หวั่นไหวไป ไหลไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่เป็นความจริง
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลถามว่า บุคคลประเภทนี้ ที่ได้รับผลของกรรมเช่นนี้ๆ เป็นผลของกรรมอะไร ในชาติไหน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงพยากรณ์แสดงตามความเป็นจริงว่า วิบากจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น เป็นผลของกรรมอะไรในชาติไหน
เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นผู้มีความมั่นคงในเหตุในผล และการที่จะเป็นผู้มีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พึ่งปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ เพราะเหตุว่าไม่สามารถคิดธรรมเอาเองได้ จึงมีข้อที่ควรพิจารณา คือ จะฟังคำของคนผู้ไม่รู้ความจริง หรือจะฟังคำที่บุคคลผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กรรม คือ เจตนา ที่เป็นไปในกุศลกรรม อกุศลกรรม ส่วนผลของกรรมก็คือขณะที่จิตเกิดขึ้น เป็นวิบากจิต ซึ่งผลของกรรมที่เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น คือ ปฏิสนธิจิต ที่เป็นขณะที่เกิด ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ครับ
กัมมัสสกตาญาณ คือ ปัญญาที่รู้ในเรื่องกรรมและผลของกรรม ซึ่งมีหลายระดับ ทั้งเพียงขั้นคิดเป็นเรื่องราว และขั้นประจักษ์ตัวกรรมและผลของกรรม และขั้นวิปัสสนาญาณ จนถึงระดับที่สามารถรู้กรรมในอดีต กรรมในปัจจุบัน ทั้งผลของกรรมในอดีต ผลของกรรมในปัจจุบัน ว่าเกิดจากกรรมอะไร อันเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า ครับ
ซึ่งสําหรับเทวดา ที่รู้ว่าตนเกิดเป็นเทวดาเพราะผลของกรรมอะไร ในความเป็นจริง เทวดาไม่ได้มีกัมมัสสกตาญาณที่สามารถรู้โดยความละเอียดที่รู้ว่าเกิดมาเป็นเทวดาเพราะกรรมอะไร แต่อาศัยการอนุมาน คาดคะเนเอาครับว่า เพราะกรรมนี้ ทำให้ตนเกิดเป็นเทวดา เพราะสัจจะความจริง กัมมัสสกตาญาณเป็นเรื่องของปัญญา ที่จะเชื่อกรรมและผลของกรรม และมีหลายระดับ ซึ่งระดับที่จะรู้ว่าเกิดมาเพราะกรรมอะไรจริงๆ นั้นจะต้องเป็นผู้มีปัญญาระดับสูงมาก มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนภพภูมิเป็นเทวดา แม้จะเป็นโอปปาติกะก็ตามที คือ เกิดแล้วโตทันที แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่จะให้เกิดปัญญาระดับนั้นได้ เพราะ เหตุไม่ตรงกับผล เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงเพราะการเปลี่ยนภพภูมิ แต่ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยการอบรมปัญญาอย่างยาวนาน เพราะฉะนั้น ที่เทวดารู้ว่า ตนเองเกิดเป็นเทวดาได้นั้น เพราะอาศัยการคิดคาดคะเน จากภพภูมิก่อนที่เกิด แต่ไม่ได้หมายถึงมีปัญญารู้กรรมและผลของกรรม
ยกตัวอย่าง เช่น นางคนหนึ่งหยิบดอกบวบขม คิดจะไปบูชาเจดีย์พระพุทธเจ้า ยังไม่ไปถึงพระเจดีย์ ถูกวัวขวิดสิ้นชีวิตระหว่างทาง นางไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีร่างกายสีทอง เกิดขึ้นในระหว่างที่ท้าวสักกะและเทพธิดาทั้งหลายกำลังเล่นกันอยู่ ท้าวสักกะเห็นความงาม และรัศมีดุจทองของเทพธิดาที่มีรัศมีมาก จึงถามว่า เธอทำบุญอะไรมาจึงมีวรรณะและสมบัติมากมายอย่างนี้ นางเทพธิดาจึงทูลว่า เพราะดิฉันทำบุญบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบวบขม ที่เขาไม่ต้องการ ๔ ดอก ท้าวสักกะได้ยินดังนั้น คิดว่าผลของการบูชาพระพุทธเจ้า แม้เพียงน้อยก็มีผลมาก เราไม่ควรประมาทที่จะมัวเล่นอย่างนี้ จึงเลิกการละเล่น แต่กลับไปบูชาพระเจดีย์จุฬามณีแทน
จะเห็นนะครับว่า เทพธิดาไม่ได้มีญาณปัญญา รู้ว่ากรรมใดทำให้ผลเกิดมาเป็นเทวดา แต่อาศัยการคาดคะเน เพราะตนเองเพิ่งทำบุญมาจากชาติก่อนมา จึงสำคัญว่าเป็นบุญจากการบูชาดอกบวบขม ครับ
ส่วนประเด็นเรื่องที่หมอดูหรือมีคนที่รู้ว่า คนนี้ทำกรรมอะไรมา ไปเกิดเป็นอะไรมา ในความเป็นจริงการจะรู้ว่าใครทำกรรมอะไรและได้รับผลของกรรมอย่างไร ต้องเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า ไม่ทั่วไปสาธารณะกับทุกๆ คน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเพียงการคาดคะเน เดากันไป ไม่มีใครที่สามารถรู้จริง เพราะในความเป็นจริง แม้แต่คำว่า กรรมและผลของกรรม ยังไม่เข้าใจได้ตรงตามความป็นจริงในพระพุทธศาสนา จะกล่าวไปไยถึงการรู้กรรมและผลของกรรมของผู้อื่น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
นี่คือโทษของความไม่รู้และความเห็นผิด พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของเหตุผลและปัญญา การจะเชื่อ ก็เชื่อเพราะปัญญาของตนเองเกิดขึ้น ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นบอกให้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
ขออนุโมทนาครับ
ได้ความเข้าใจเรื่องกัมมัสสกตาญาณ กราบอนุโมทนา สาธุค่ะ