จิตสุดท้ายก่อนตายเราไม่ได้ตายด้วยความสงบ แต่เราเกิดอุบัติเหตุตายอย่างกะทันหัน แขน ขา ขาด ได้รับความทรมานสาหัสจนตาย แบบนี้เราจะได้ไปสวรรค์ ไหม? แม้ว่าเราทำบุญมามาก และปฎิบัติธรรมมาก แต่ยังไม่ถึงโสดาบัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ คือ จะตายอย่างไร ตายเวลาไหน ตายด้วยเหตุอะไร และ หลังจากตายไปแล้ว จะเกิดเป็นอะไร เพราะ ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับ บัญชาได้ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ไม่ใช่พระอริยเจ้า ไม่ใช่พระโสดาบัน ย่อมมีเหตุ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิได้เป็นธรรมดา ไม่ว่าชาตินี้จะทำกุศลอย่างไร แต่ อกุศลก็พร้อมที่จะให้ผลได้ ทำให้เกิดในอบายภูมิ
พระพุทธเจ้าท่านจึงเปรียบเทียบการเกิดของสัตว์โลก ว่าไม่แน่นอน เปรียบเหมือน การโยนท่อนไม้ไปบนอากาศ บางคราว ก็ตกลงมาตกปลายด้านหนึ่ง บางคราวก็ตก มาอีกปลายด้านหนึ่ง บางคราวก็ตกลงมาตรงกลางก่อน การเกิดของสัตว์โลกก็เช่น กัน บางคราวก็ไปเกิดในสุคติ บางคราวก็ไปเกิดในทุคติแล้วแต่ว่า กรรมใดจะให้ผล ที่เป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม เพราะ ต้องไม่ลืมว่า เราไม่ได้เกิดมาเพียงชาติเดียว เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน และ โดยมาก แม้แต่ในชีวิตประจำวันที่ได้มีโอกาสพบ พระธรรม พบพระพุทธศาสนา ก็ยังมากด้วยอกุศล มากกว่า กุศลนับประมาณไม่ได้ จะกล่าวไปใยถึงชาติที่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ที่ว่างจากคำสอน ยาวนาน ก็ย่อม ไหลไปตามกิเลส และ ทำบาปมากมาย หาประมาณไม่ได้ ดังนั้น ที่ผ่านมา จึงทำบาป มากกว่า กุศลกรรมมาก ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาหากว่า เมื่อสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในอบายภูมิได้ เพราะอกุศลกรรมให้ผล และ ยังไม่ใช่พระโสดาบัน แม้ พระนางมัลลิกา ทำบุญมากมายมหาศาลในชาตินี้ ถวายอสทิสทาน ทานที่เลิศ สูงสุดกับพระพุทธเจ้า และ พระภิกษุสงฆ์ เพียงแต่ว่าก่อนจุติ นึกถึงบาปกรรมที่ทำมา ทำให้เกิดจิตเศร้าหมอง เป็นหตุให้อกุศกลรรมให้ผล ไปเกิดในนรก เจ็ดวันได้เป็น ธรรมดา
นี่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ในการให้ผล ที่เป็นวิบาก ที่ไม่มีใครรู้ และ บังคับไม่ได้ เพราะ เป็นไปตามเหตุปัจจัยและเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ดังนั้น บุญเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอที่จะปิดอบายภูมิได้ หากไม่ใช่ บุญที่เป็นโลกุตตระ ประจักษ์พระนิพพานดั่งเช่น พระโสดาบัน ครับ
ชาตินี้ แม้จะไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอยางไรในอนาคต ไม่ต้องกล่าวถึงชาติหน้า ขณะจิต ต่อไปก็ไม่รู้แล้วว่า จะเป็นกุศล อกุศล จะเป็นวิบากทางตาหรือ ทางหู จะเป็นอะไร ต่อไปควรที่จะเข้าใจความจริงของชีวิต อยู่กับความจริงด้วยความเข้าใจ และ แสวง หา เจริญกุศลทุกๆ ประการเท่าที่ทำได้ การเจริญกุศล และ อบรมปัญญาไม่ได้ สูญหายไปไหนเลย แม้ขณะนี้ก็แสดงให้เห็นแลวว่า กุศลกรรมให้ผลมี คือ ขณะที่เรา เกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น ก็ทำกุศล และ อบรมปัญญาต่อไป แม้จะเกิดบ่อยๆ ตาย บ่อยๆ ของผู้ที่อบรมปัญญาก็เพื่อถึง การไม่เกิดอีก เพราะ ปัญญาถึงพร้อม ดับกิเลส ได้ในอนาคตครับ
สังสารวัฏฏ์จึงยาวนาน สำหรับคนพาล แต่ ไม่ยาวนานเลย สำหรับผู้ที่ศึกษา พระธรรมอบรมปัญญา เพราะ ย่อมมีจุดที่สิ้นสุด ครับ ความดี ไม่สูญหาย แต่เลือนลางไป เพราะ ความหวังในผลของความดี ทำความดี เพราะ เป็นความดี ส่วนผลเป็นอย่างไรนั้น ก็ตามแต่ เหตุที่ดี หรือ ไม่ดีในอดีตให้ผล
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒- หน้าที่ 427
ข้อความบางตอนจาก...
ปิยสูตร
[๓๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำ ร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า
เมื่อความตายเข้าถึงตัวแล้ว บุคคล ย่อมละทิ้งภพมนุษย์ไป ก็อะไรเป็นสมบัติ ของเขา และเขาจะพาเอาอะไรไปได้ อนึ่ง อะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตาม ตนไป ฉะนั้น
มัจจาผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายใน โลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือบุญและ บาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแล และบาปนั้นไป อนึ่ง บุญและบาปนั้นย่อม เป็นของติดตามเขาไปประดุจเงาติดตาม ตนไป ฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น บุคคลพึงทำกัลยาณ กรรมสะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก ด้วย ว่า บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้ง หลายในปรโลก
ขออนุโมทา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ วันไหนๆ ก็ได้ เตรียมตัว ตาย ก็คือ เดี๋ยวนี้ทำดี ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะมีแต่อกุศลเกิด พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด : สรุปแล้ว เตรียมตัวตาย คือ ทำดีทุกโอกาส.
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๖
ทุกคนเกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจาก ความตายไปได้เลย ตามความเป็นจริงแล้วก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ก็ไม่ทราบว่า มาจากไหน คือ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ชาติก่อนเกิดเป็นอะไรมา, ต่อจากนั้น จะไปไหน ก็ยังไม่ทราบ คือ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ, ที่แน่ๆ ย่อมทราบว่า จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบ ว่า จะตายตอนไหน กล่าวคือ จะตายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืน ก็ไม่สามารถ จะทราบได้ นี้คือความจริง, ในแต่ละวัน ชีวิตของคนเราซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่น ไปด้วยกิเลส หมดไปกับการนอน การทำงาน การบริโภค การชำระล้างร่างกาย การเดินทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าจะมีการฟังธรรม ศึกษาพระธรรมบ้าง เจริญกุศล ประการต่างๆ เช่นให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น บ้าง ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ บ้าง ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของชีวิตเท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าในแต่ละวัน กุศลจิตเกิดน้อยมาก เทียบส่วนกับอกุศลจิตไม่ได้เลย ยิ่งถ้ามีความประมาทในการใช้ชีวิตแล้ว ก็ยิ่งจะเกื้อหนุนให้อกุศลเกิดเพิ่มมากขึ้นไป อีก แต่ละคนเหลือเวลากันอีกไม่มากแล้วที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ควรอย่างยิ่งที่ จะให้เวลากับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่า ที่สุดสำหรับชีวิต ให้มากๆ และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ด้วย เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าอะไรจะเิกิดแม้ในขณะต่อไป
ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาที่เกิด จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่สูญหายไป ไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ด ขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
เมื่อกล่าวโดยสรุป สิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิต ย่อมไม่พ้นไปจากความดี และ การมี โอกาสได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง โดยไม่ต้องรอเลย เริ่มได้ตั้งแต่ในขณะนี้ก่อนที่ความตายจะมาถึง ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ก่อนตาย สำคัญที่ชวนจิตสุดท้าย ถ้าคิดถึงกุศลที่ทำก็ไปเกิดในสุคติได้ และ ไม่มีใคร รู้ว่าใครจะไปเกิดที่ไหน ค่ะ
การใช้ชีวิตที่สั่งสมแต่อกุศล มีทุคติเป็นที่ไปแน่นอน
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณที่ยกตัวอย่าง พระนางมัลลิกา มาให้เห็นครับ ประมาทไม่ได้จริงๆ แม้จะทำบุญมากมาย เวลาไกล้ตาย เสี้ยววินาที ก็มีสิทธิ ลงนรกได้เลย น่ากลัวจริงๆ ครับ
"บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก"
"ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิม อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ