พระพุทธพจน์ไม่ใช่คำของคนอื่น ถ้าคนอื่นบอกว่าอย่างนั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่าอย่างนี้ นักจิตวิทยาบอกว่าอย่างนั้น ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ปริยัติ ฟังหรือศึกษา เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปเข้าใจเรื่องอื่น นั่นคือไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะรู้ความต่าง ของคำของคนอื่น ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำจริง วาจาสัจจทั้งหมด ทุกกาลสมัย เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวงทั้งหมด แล้วก็ถึงที่สุดเปลี่ยนอีกไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยที่ทรงบัญญัติแล้ว หรือพระธรรมที่ได้ตรัสแล้วด้วยพระปัญญาคุณ ที่ไม่มีผู้อื่น ผู้ใด สามารถที่จะรู้ได้ว่าพระปัญญาของพระองค์มากสักแค่ไหน แต่พอเริ่มฟัง จากไม่รู้ รู้ เริ่มเห็นแล้ว นี่เพียงไม่กี่คำ
การฟังธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ ด้วยเหตุนี้ ปริยัติไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น อย่าเอาอะไรมาแทรกเลย ไม่ว่าใครจะว่าอะไรทั้งสิ้น คำนั้นๆ ไม่ใช่ปริยัติ คือไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ทันทีหรือไม่ ใครเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำว่าปฏิเวธในปริยัติ
คำภาษาบาลีเป็นคำที่ใช้กันอยู่ในกลุ่มบุคคลพวกหนึ่ง กลุ่มหนึ่ง ภาคหนึ่ง ประเทศหนึ่ง เพราะฉะนั้น ภาษามคธีก็เป็นภาษาที่ชาวมคธในแคว้นมคธ รัฐหนึ่งของประเทศอินเดีย ใช้ในยุคสมัยพุทธกาล เพราะฉะนั้น เป็นคำธรรมดา เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำบาลี เราตื่นเต้นแล้ว คำนี้อะไร คำนี้แปลว่าอะไร แต่ความจริงก็คือคำธรรมดา ถ้าเราบอกว่าปฏิเวธคือการแทงตลอด เราก็สงสัยว่าแค่ไหน ขั้นไหน แต่ฟังธรรมเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ปริยัติ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง จึงเป็นปริยัติ แต่ว่าฟังแล้วรู้ทั่วถึงโดยตลอดทันทีหรือไม่ ฟังแล้วจิตมีกี่ดวง เจตสิกมีเท่าใด รูปมีเท่าใด ปฏิจจสมุทปาทมีเท่าใด ฟังแล้วไปสำนักปฏิบัติ ชื่อว่ารอบรู้แทงตลอดในปริยัติหรือเปล่า
จึงต้องมีคำกำกับไว้ เมื่อมีการฟังปริยัติ ไม่ใช่แค่ฟัง แต่เข้าใจอย่างมั่นคง แล้วก็รอบรู้จริงๆ เพราะทุกคำสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่มีความขัดแย้งกันเลย ถ้าสามารถเข้าใจความสอดคล้องของพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม และแต่ละคำที่ได้รู้ ก็เป็นการแทงตลอดที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวนี้เอง สภาพธรรมเกิดดับ แล้วจะไปไหน หนีเดี๋ยวนี้จะไปรู้อะไรที่ไหน ในเมื่อเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่รู้ไปตลอด เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ก็คือว่าผู้นั้นไม่ได้มีความรอบรู้ในปริยัติ ไม่ได้แทงตลอดในปริยัติ
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ฟังเข้าใจแล้ว มีความมั่นคงเป็นสัจจญาณของปริยัติในอริยสัจ ๔ แต่ละคำไม่ใช่ให้เราไปนั่งจำ แล้วก็นั่งคิดเองแล้วผ่านๆ ไป เผินไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจจริงๆ แล้วก็จะสอดคล้องกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่เข้าใจปริยัติจริงๆ จึงเป็นสัจจญาณ เมื่อมีปริยัติ สามารถที่จะเป็นสัจจญาณแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ปฏิปัตติ ซึ่งเป็นกิจจญาณ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอยู่แค่นั้น ไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่เมื่อฟังแล้วปัญญาเจริญขึ้น ไม่ใช่เราไปพยายามเร่งรัดให้เกิดปัญญามากๆ นั่นก็ลืมคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ไม่สอดคล้องกันแล้ว
ต้องเป็นผู้ที่ตรง และรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น ก็สอดคล้องกันทั้งปริยัติ และสัจจญาณ เป็นปัจจัยให้ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง เป็นกิจจญาณ คือกิจของสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นมรรคมีองค์ ๘
ปฏิปัตติ คือกิจจญาณ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแล้วมีใครที่จะทำปริญญา ทำได้อย่างไร ในเมื่อปริญญาคือวิปัสสนาญาณ ตามลำดับขั้น ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา ทั้งหมดเป็นวิปัสสนาญาณ ซึ่งไม่ใช่แค่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติ
ขอเชิญรับฟัง
ฟังปริยัติ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง