ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ตอนอายุ ๖๐ จะได้ไปสวรรค์ไหมครับ คือถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัดและปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อย่างจริงจัง ตอนอายุ ๖๐ จะได้ไปสวรรค์ไหมครับ ถ้าศีลไม่บกพร่องเลย และจะอยู่สวรรค์ได้นานเท่าไหร่ เมื่อพ้นสวรรค์แล้ว มีโอกาสตกไปนรกไหมครับ และถ้าบรรลุเป็นพระโสดาบัน จะต้องทำอย่างไรต่อไป มีโอกาสตกไปนรกอีกไหมครับ
พระอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้นมีคติแน่นอน คือ มีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาไม่เกิดในอบายภูมิ เป็นผู้แน่นอนที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า สำหรับปุถุชนทั้งหลาย มีคติไม่แน่นอน แม้ว่าทำบุญไว้มากก็เกิดในอบายภูมิได้ หรือชาติหน้าเกิดบนสวรรค์ ตายจากสวรรค์ก็เกิดในอบายภูมิได้ ไม่มีอะไรแน่นอน อายุของสวรรค์ชั้นต่างๆ มีความยาวนานต่างกัน ดังข้อความจากอรรถกถาดังนี้
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
ประมาณแห่งอายุของเทวดาเทียบกับมนุษย์
ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชน คติไม่แน่นอนค่ะ แต่ถ้าเราทำความดี รักษาศีลเป็นปกติเจริญกุศลทุกอย่าง ภูมิที่ดีก็รออยู่แล้วข้างหน้า ถ้าเราทำชั่ว ทุศีล อบายภูิมิก็รออยู่แล้วข้างหน้าเหมือนกันค่ะ ส่วนการจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล เราก็ต้องทำเหตุ คืออบรมปัญญา และก็ไม่ต้องหวังว่าจะบรรลุชาตินี้ หรือชาติหน้า ทุกอย่างอยู่ที่เหตุปัจจัยค่ะ
ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันก็ยังไม่แน่ แต่ถ้าบรรลุแล้วจะไม่ถามว่าทำไงต่อน่ะ
ฟังธรรมให้เข้าใจเท่านั้น อดทนที่จะอบรมเหตุ อดทนที่จะไม่ห่วงถึงผล
ในชีวิตประจำวัน บางกิจกรรมอาจดูเหมือนว่าเราสามารถกำหนดตารางเวลา กำหนดเป้าหมาย และวางแผนไว้ว่าเวลานั้นเวลานี้ จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร กับ
ใคร แต่พอเวลานั้นมาถึงจริงๆ อะไรต่างๆ ที่คาดคิดไม่ถึงก็เกิด ไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา เราจึงเป็นทุกข์ที่ต้องคอยตามแก้ไปทีละปัญหา โดยไม่รู้ความจริงแท้ของความทุกข์ในชีวิตแต่ละขณะจิต ก่อนฟังพระธรรม เราเข้าใจว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในชีวิตสำเร็จได้ ด้วยความสามารถของเรา เราภูมิใจที่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ด้วยตนเอง เราเข้าใจชีวิตในแง่มุมใหม่ๆ และเราก็มีกำลังใจที่จะสู้ปัญหาชีวิตอื่นๆ
แต่หลังจากที่ได้ฟังพระธรรม ได้รู้ความจริงว่า ความเป็นเราไม่ใช่ความเป็นธรรม ถ้ามีเราเมื่อไร ก็จะเข้าไปยุ่ง เข้าไปจัดแจง แล้วก็เป็นเราที่เป็นทุกข์เพราะไม่ได้อย่างที่ใจปรารถนาไว้ หลงลืมความเป็นธรรม นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถจะรู้ถึงการเกิดของธรรม เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพธรรมที่จะเกิดนั้นๆ ตามเหตุปัจจัยได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยพร้อม จะอยากให้ธรรมนั้นเกิดเท่าไร ธรรมนั้นก็ไม่เกิด ด้วยความที่ธรรมไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เราทำดี บางทีเราก็เผลออยากให้ผลของธรรมดีที่ทำนั้นๆ เกิดขึ้นแน่นอน ในเวลาที่กำหนดตามใจของเรา ด้วยความที่เรายังเป็นปุถุชน ยังไม่ได้ดับอนุสัยกิเลสเลยแม้แต่อย่างเดียว ส่วนพระโสดาบันท่านดับทิฏฐานุสัยได้ ปิดตายประตูอบายภูมิได้มิดชิดทุกประตู แต่ท่านก็ยังมีอนุสัยกิเลสตัวอื่นๆ เช่น กามราคานุสัย ภวนุสัยที่ยังไม่ได้ดับ และจะต้องค่อยๆ ดับต่อไป เมื่ออบรมเจริญปัญญาขั้นสูงขึ้นจนบรรลุเป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี และเป็นพระอรหันต์ตามลำดับแล้ว ก็หมดกิจที่จะต้องทำอีก แต่จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับปัญญาที่สั่งสมไว้
ควรที่จะใช้เวลาขณะนี้เพื่ออบรมเจริญเหตุให้เกิดกุศล โดยไม่รีรอ และไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะได้รับ เพราะเป็นเรื่องของอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดแล้วกระสับกระส่ายฟุ้งซ่าน ไม่สงบ ไม่เป็นปกติวิสัย และไม่เป็นสาระ ครับ
ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ ต้องอดทน ฝึกฝนตน การบรรลุธรรมจะเกิดเอง
ศึกษาธัมมะและอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันต้องไม่ใจร้อนและเริ่มจากธรรมคืออะไร ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกขณะรูปธรรมนามธรรมเกิดขึ้นทำกิจและก็ดับไป ไม่ใช่เราที่เห็น ได้ยิน ... คิดนึก.. รู้อย่างนี้แล้วหรือยัง? ขณะที่ต้องการรู้เร็วๆ นั้น เป็นโลภะที่เกิดขึ้นทำกิจให้มีความต้องการเกิดขึ้นซึ่งเป็นอกุศลและไม่ใช่หนทาง ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญอยู่เสมอว่าธรรมเป็นอนัตตา ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นเหมือนการจับด้ามมีด ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อทำกิจอดทนไม่ใช่เราที่อดทน ดังนั้น จึงต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่า" ไม่มีเรา " เป็นเบื้องต้นในการอบรมเจริญปัญญา
ยินดีในกุศลจิตค่ะ