[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 279
๖. ทัททัลลวิมาน
ว่าด้วยทัททัลลวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 279
๖. ทัททัลลวิมาน
ว่าด้วยทัททัลลวิมาน
[๓๔] นางภัททาเทพธิดาผู้พี่สาว ได้ถามนางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวว่า
ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมี ทั้งเป็นผู้เรืองยศ ย่อมรุ่งโรจน์ล่วงเทพเจ้าชาวดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี ดีฉันไม่เคยเห็นท่าน เพิ่งจะมาเห็นในวันนี้เป็นครั้งแรก ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จงมาเรียกดีฉันโดยชื่อเดิมว่า ภัททา ดังนี้เล่า.
นางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวตอบว่า
ข้าแต่พี่ภัททา ฉันชื่อว่าสุภัททา ในภพก่อนครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ ดีฉันได้เป็นน้องสาวของพี่ ทั้งได้เคยเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกับพี่มาด้วย ดีฉันตายจากมนุษยโลกนั้นมาแล้ว ได้มาเกิดเป็นเทพธิดา ประจำสวรรค์ชั้นนิมมานรดี.
นางภัททาเทพธิดาจึงถามต่อไปอีกว่า
ดูก่อนแม่สุภัททา ขอเธอได้บอกการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้าเหล่านิมมานรดี ซึ่งเป็นที่ๆ สัตว์ได้สั่งสมบุญกุศลไว้มาก แล้วจึงได้มาบังเกิด เธอได้มาเกิดในที่นี้เพราะทำบุญกุศลสิ่งใดไว้ และใครเป็นครูผู้แนะนำสั่งสอนเธอ เธอเป็นผู้เรืองยศ และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 280
ถึงความสุขพิเศษไพบูลย์เช่นนี้ เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ ดูก่อนแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดตอบฉันด้วย.
นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
เมื่อชาติก่อน ดีฉันมีใจเลื่อมใส ได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่ แก่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูป ด้วยมือของตน เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมนั้น.
นางภัททาเทพธิดาได้ถามต่อไปอีกว่า
พี่เลี้ยงดูพระภิกษุทั้งหลาย ผู้สำรวมดี ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำด้วยมือของตนเองมากกว่าเธอ ครั้นให้ทานมากกว่าเธอแล้ว ก็ยังได้บังเกิดในเหล่าเทพเจ้าต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอได้ถวายทานเพียงเล็กน้อยอย่างไร จึงมาได้ผลอย่างพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้เล่า แน่ะแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดตอบฉันด้วย.
นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
เมื่อชาติก่อน ดีฉันได้เห็นพระภิกษุผู้อบรมทางจิตใจเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ จึงได้นิมนต์ท่านรวม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 281
๘ รูปด้วยกัน มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วยภัตตาหาร ท่านพระเรวตเถระนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์อนุเคราะห์แก่ดีฉัน จึงบอกดีฉันว่า จงถวายสงฆ์เถิด ดีฉันได้ทำตามคำของท่าน ทักขิณาของดีฉันนั้นจึงเป็นสังฆทาน ดีฉันให้เข้าไปตั้งไว้ในสงฆ์ เป็นทานที่ไม่อาจปริมาณผลได้ว่า มีอยู่เท่าไร ส่วนทานที่คุณพี่ได้ถวายแก่ภิกษุด้วยความเลื่อมใสเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก.
นางภัททาเทพธิดา เมื่อจะรับรองความข้อนั้นจึงกล่าวว่า
พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานนี้มีผลมาก ถ้าว่าพี่ได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์อีก จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ถวายสังฆทาน และไม่ประมาทเป็นนิตย์.
เมื่อสนทนากันแล้ว นางสุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่ทิพยวิมานของตนบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับการสนทนานั้น เมื่อนางสุภัททาเทพธิดากลับไปแล้ว จึงตรัสถามนางเทพธิดาว่า
ดูก่อนนางภัททา เทพธิดาผู้นั้นเป็นใคร มาสนทนาอยู่กับเธอ ย่อมรุ่งโรจน์กว่าเทพเจ้าเหล่าดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี.
นางภัททาเทพธิดา เมื่อจะบรรยายข้อที่สังฆทานของเทพธิดาผู้น้องสาวว่ามีผลมาก จึงทูลว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 282
ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ เทพธิดาผู้นั้นเมื่อชาติก่อนยังเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็นน้องสาวของหม่อมฉัน และยังได้เคยร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉันด้วย เธอสั่งสมบุญกุศลคือถวายสังฆทาน จึงได้ไพโรจน์ถึงอย่างนี้เพค่ะ.
สมเด็จอมรินทราธิราช เมื่อจะทรงสรรเสริญสังฆทาน จึงตรัสว่า
ดูก่อนนางภัททา น้องสาวของเธอไพโรจน์กว่าเธอ ก็เพราะเหตุในปางก่อน คือ การถวายสังฆทาน ที่ไม่อาจจะปริมาณผลได้ อันที่จริง ฉันได้ทูลถาม พระพุทธเจ้าครั้งประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ถึงผลแห่งไทยธรรมที่ได้จัดแจงถวายในเขตที่มีผลมาก ของมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญให้ทานอยู่ หรือทำบุญ ปรารภเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย จะถวายในบุคคลประเภทใดจึงจะมีผลมาก พระพุทธเจ้าตรัสตอบข้อความนั้นแก่ฉันอย่างแจ่มแจ้งว่า ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออริยมรรค ๔ จำพวก และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยมรรค ๔ จำพวก พระอริยบุคคล ๘ จำพวกนี้ ชื่อว่าสงฆ์ เป็นผู้ปฏิบัติตรงดำรงมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ หรือทำบุญปรารภการเวียนเกิดเวียนตาย ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ยังผลให้เกิดแก่ผู้ถวายทานใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 283
ท่านอย่างไพบูลย์ ยากที่ใครจะปริมาณว่าเท่านี้ๆ ได้ เหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้ๆ ได้ ฉะนั้น พระสงฆ์เหล่านี้แลเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรเป็นเยี่ยมในหมู่นรชน เป็นแหล่งสร้างแสงสว่าง คือ ญาณของชาวโลก ได้แก่ นำเอาแสงสว่าง คือ พระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วมาชี้แจง ปวงชนผู้ใคร่ต่อบุญเหล่าใด ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทักขิณาของเขาเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เป็นยัญวิธีที่เซ่นสรวงถูกต้อง จัดเป็นบูชากรรมที่บูชาแล้วชอบ เพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทาน มีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญ ชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก มาหวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้ เกิดปีติโสมนัส ก็จะกำจัด มลทิน คือ ความตระหนี่พร้อมทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความลังเลในใจและความวิปลาส อันเป็นมูลฐานเสียได้ ทั้งจะไม่เป็นผู้ถูกผู้รู้ติเตียน ชนเหล่านั้นก็จะเข้าถึงสถานที่ๆ เป็นแดนสวรรค์.
จบทัททัลลวิมาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 284
อรรถกถาทัททัลลวิมาน
ทัททัลลวิมาน มีคาถาว่า ททฺทลฺลมานา วณฺเณน ดังนี้เป็นต้น. ทัททัลลวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็สมัยนั้น กุฎุมพีคนหนึ่งเป็นอุปัฏฐากของท่านพระเรวตเถระจากนาลกคาม ได้มีธิดาสองคน คนหนึ่งชื่อ ภัททา อีกคนหนึ่งชื่อ สุภัททา. ในธิดาสองคนนั้น นางภัททาไปสู่ตระกูลสามี นางมีศรัทธาเลื่อมใสฉลาดและเป็นหมัน. นางภัททาพูดกะสามีว่าฉันมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อสุภัททา พี่ไปนำเขามาเถิด หากน้องสุภัททานั้นพึงมีบุตร บุตรนั้นก็จะเป็นบุตรของฉันด้วย และวงศ์ตระกูล นี้ก็จะไม่สูญ. สามีรับคำได้ทำตามที่ภรรยาบอก.
จึงนางภัททาได้สอนนางสุภัททาว่า น้องสุภัททา น้องต้องยินดีในการแจกทาน ไม่ประมาทในการประพฤติธรรม ด้วยอาการอย่างนี้ประโยชน์ในปัจจุบันและสัมปรายภพก็จะอยู่ในเงื้อมมือของน้องแน่นอน. นางสุภัททาตั้งอยู่ในโอวาทของพี่สาว ปฏิบัติตามที่พี่สาวสอน วันหนึ่ง นางนิมนต์ท่านพระเรวตเถระ เป็นรูปที่ ๘ พระเถระหวังให้นางสุภัททาสร้างสมบุญจึงพาภิกษุ ๗ รูป โดยเป็นองค์สงฆ์ ไปเรือนของนาง. นางสุภัททามีจิตเลื่อมใส อังคาสท่านพระเรวตเถระและภิกษุเหล่านั้นด้วยของเคี้ยว ของบริโภคด้วยน้ำมือของตนเอง. พระเถระทำอนุโมทนาแล้วกลับ ครั้นต่อมานางสุภัททาถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นสหายกับเทวดาชั้นนิมมานรดี. ส่วนนางภัททาได้ให้ทานในบุคคลทั้งหลาย แล้วก็ไปเกิดเป็นบริจาริกาของท้าวสักกะจอมเทพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 285
ครั้งนั้น นางสุภัททาพิจารณาถึงสมบัติของตนครุ่นคิดอยู่ว่า เรามาเกิดในสวรรค์นี้ด้วยบุญอะไรหนอ จึงเห็นว่า เราตั้งอยู่ในโอวาทของพี่ภัททา จึงประสบสมบัตินี้ด้วยทักษิณาที่มุ่งไปในสงฆ์ พี่ภัททาไปเกิดที่ไหนหนอ ได้เห็นนางภัททานั้นไปเกิดเป็นบริจาริกาของท้าวสักกะ จึงหวังจะอนุเคราะห์ ได้เข้าไปยังวิมานของนางภัททาเทพธิดา.
นางภัททาเทพธิดา จึงถามนางสุภัททาเทพธิดาด้วยคาถา ๒ คาถาว่า
ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมี ทั้งเป็นผู้เรืองยศ ย่อมรุ่งโรจน์เกินทวยเทพชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่าน เพิ่งจะมาเห็นในวันนี้เป็นครั้งแรก ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จึงได้เรียก ข้าพเจ้าโดยชื่อเดิมว่า ภัททา ดังนี้เล่า.
นางสุภัททาเทพธิดาจึงบอกแก่นางภัททาเทพธิดาด้วยคาถา ๒ คาถาว่า
พี่ภัททา น้องชื่อสุภัททา ในภพครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ น้องได้เป็นน้องสาวของพี่ทั้งได้เป็นภรรยาร่วมสามีกันกับพี่ด้วย น้องตายจากมนุษยโลกนั้นมาแล้ว ได้มาเถิดเป็นเทพธิดา ร่วมกับเทวดาชั้นนิมมานรดี.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วณฺเณน ได้แก่ สมบัติมีวรรณะเป็นต้น. บทว่า ทสฺสนํ นาภิชานามิ ได้แก่ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 286
อธิบายว่า ท่านอันเราไม่เคยเห็น. ด้วยเหตุนั้นนางภัตทาเทพธิดาจึงกล่าวว่า อิทํ ปมทสฺสนํ นี่เป็นการเห็นครั้งแรก. บทว่า กสฺมา กายา นุ อาคมฺม นาเมน ภาสเส มมํ ความว่า ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จึงเรียกชื่อเดิมข้าพเจ้าว่า ภัททา.
บทว่า ภทฺเท ในบทว่า อหํ ภทฺเท นี้ เป็นอาลปนะ. บทว่า สุภทฺทาทาสี ความว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นน้องสาวของท่าน ชื่อสุภัททา. อธิบายว่า ในภพครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ น้องเป็นภรรยาร่วมสามีเดียวกันกับพี่ คือเป็นภรรยามีสามีคนเดียวกัน.
นางภัททาเทพธิดาจึงถามต่อไปด้วยคาถา ๓ คาถาว่า
แม่สุภัททา เธอจงบอกถึงการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้าเหล่านิมมานรดี ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ทั้งหลายได้สั่งสมบุญไว้อย่างเพียงพอจึงจะมาบังเกิดได้ เธอได้มาบังเกิดในที่นี้ เพราะทำบุญสิ่งใดไว้ และใครเป็นผู้สั่งสอน เธอเป็นผู้รุ่งเรืองยศ และถึงความสุขพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้ เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ แม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดบอกฉันด้วย.
นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
เมื่อชาติก่อน ฉันมีใจเลื่อมใสได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่แก่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูป ด้วยมือของตนเอง เพราะบุญกรรมนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะ งามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 287
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปหูตถตกลฺยาณา เต เทเว ยนฺติ ความว่า สัตว์มีชีวิตทั้งหลายต้องทำความดีไว้มาก คือ มีบุญมาก จึงจะไป คือไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี. โยชนาแก้ว่า เธอจงบอกกล่าวการอุบัติของตนในระหว่างเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีทั้งหลายใด.
บทว่า เกน วณฺเณน ได้แก่ เหตุอะไร. เอวศัพท์ในบทว่า กีทิเสเนว เป็นสมุจจยัตถะ (มีความรวม) ได้แก่ เช่นไร. ปาฐะว่า อยเมว วา หรือว่านี้แล. บทว่า สุพฺพเตน คือมีวัตรงาม. อธิบายว่า มีศีลบริสุทธิ์เป็นอย่างดี.
บทว่า อฏฺเว ปิณฺฑปาตานิ นางสุภัททาเทพธิดากล่าวหมายถึง บิณฑบาตที่ถวายแก่ภิกษุ ๘ รูป. บทว่า อททํ แปลว่า ได้ถวายแล้ว.
เมื่อนางสุภัททาเทพธิดาบอกอย่างนี้แล้ว นางภัททาเทพธิดาจึงถามต่อไปว่า
พี่ได้อังคาสภิกษุทั้งหลายผู้สำรวม ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยข้าวและน้ำ ด้วยมือของตนเองมากกว่าเธอ ครั้นถวายทานมากกว่าเธอแล้ว ก็ยังเกิดในเหล่าเทพเจ้าต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอได้ถวายเพียงเล็กน้อย ทำไมจึงได้รับผลวิเศษไพบูลย์เช่นนี้เล่า ดูก่อนเทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว จงบอกว่านี่เป็นผลกรรมอะไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตยา เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถปัญจมีวิภัตติ. นางสุภัททาได้บอกถึงกรรมที่ตนทำต่อไปว่า
เมื่อชาติก่อน ฉันได้เห็นภิกษุผู้อบรมจิตใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 288
จึงได้นิมนต์ท่านรวม ๘ รูป มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วยภัตตาหาร พระเรวตเถระมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ฉัน จึงบอกฉันว่า จงถวายสงฆ์เถิด ฉันได้ทำตามคำของท่าน ทักขิณานั้นจึงเป็นสังฆทานอันตั้งไว้ในสงฆ์ซึ่งหาประมาณมิได้ ส่วนทานที่พี่ได้ถวายแก่ภิกษุเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มโนภาวนีโย ได้แก่ ยังใจให้เจริญ คืออบรมเพื่อคุณอันยิ่ง. บทว่า สนฺทิฏฺ ได้แก่ บอกกล่าวด้วยนิมนต์. ด้วยเหตุนั้น นางสุภัททาเทพธิดาจึงกล่าวว่า ตาหํ ภตฺเตน นิมนฺเตสึ เรวตํ อตฺตนฏฺมํ ความว่า ได้นิมนต์ภิกษุ ๘ รูป มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วยภัตตาหาร ความว่า ฉันนิมนต์พระคุณเจ้าเรวตะผู้อบรมใจนั้นรวม ๘ รูปกับท่าน ด้วยภัตร.
บทว่า โส เม อตฺถปุเรกฺขาโร ความว่า พระคุณเจ้าเรวตะนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ คือ แสวงหาประโยชน์เพื่อฉัน โดยการทำทานที่มีผลมาก. บทว่า สงฺเฆ เทหีติ มํ อโวจ ความว่า พระคุณเจ้าเรวตะได้บอกฉันว่า ดูก่อนสุภัททา หากว่าท่านประสงค์จะถวายทานแก่ภิกษุ ๘ รูปไซร้ เพราะการถวายทานที่เป็นไปในสงฆ์มีผลมากกว่าการถวายทานที่เป็นไปในบุคคล ฉะนั้น ท่านจงถวายทานในสงฆ์เถิด จงถวายทานเฉพาะสงฆ์เถิด ดังนี้. บทว่า ตํ คือ ทานนั้น.
เมื่อนางสุภัททาเทพธิดากล่าวอย่างนี้แล้ว นางภัททาเทพธิดา เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 289
จะรับรองความข้อนั้น และประสงค์จะปฏิบัติอย่างนั้นให้ยิ่งๆ ขึ้น จึงกล่าวคาถาว่า
พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานมีผลมาก หากพี่ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก จักเป็นผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ จักเป็นผู้ปราศจากความตระหนี่ ถวาย สังฆทานและไม่ประมาทเป็นนิจ.
ส่วนนางสุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่เทวโลกของตน. ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ทอดพระเนตรเห็นนางสุภัททาเทพธิดารุ่งเรืองครอบงำทวยเทพชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมีแห่งสรีระ และได้สดับการสนทนาของเทพธิดาทั้งสอง เมื่อนางสุภัททาเทพธิดาหายไปในทันใดนั้นเอง เมื่อไม่รู้จักชื่อ จึงตรัสถามนางภัททาเทพธิดาว่า
ดูก่อนนางภัททา เทพธิดาผู้นั้นเป็นใคร มาสนทนาอยู่กับเธอ มีรัศมีรุ่งโรจน์กว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด.
นางภัททาเทพธิดาจึงทูลแด่ท้าวสักกะว่า
ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ เทพธิดาผู้นั้น เมื่อชาติก่อนเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก เป็นน้องสาวของหม่อมฉัน และยังเคยร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉันด้วย เธอทำบุญถวายสังฆทานจึงรุ่งเรืองถึงเพียงนี้เพคะ.
จึงท้าวสักกะเมื่อจะสรรเสริญความที่สังฆทานมีผลมากจึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 290
ดูก่อนนางภัททา น้องสาวของเธอรุ่งเรืองกว่าเธอ ก็เพราะในชาติก่อนได้ถวายสังฆทานซึ่งมีผลไม่มี่ที่เปรียบได้ ความจริงฉันได้ทูลถามพระพุทธเจ้าครั้งประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ถึงผลแห่งไทยธรรมที่ให้แล้วในเขตที่มีผลมากของมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญให้ทานอยู่ หรือทำบุญปรารภเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย จะถวายในบุคคลประเภทใด จึงจะมีผลมาก. พระพุทธเจ้าตรัสตอบข้อความนั้นแก่ฉันอย่างแจ่มแจ้ง ถึงผลแห่งการถวายทานในเขตที่มีผลมากกว่า ท่านผู้ปฏิบัติอริยมรรค ๔ และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยผล ๔ ชื่อว่าสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตรง ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ หรือทำบุญปรารภการเวียนเกิดเวียนตาย ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก.
พระสงฆ์แลเป็นผู้มีคุณยิ่งใหญ่ไพบูลย์ ไม่มีที่เปรียบได้ เหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้ๆ ได้. ฉะนั้น พระสงฆ์เหล่านี้แลเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นเยี่ยมในหมู่นรชน เป็นผู้ทำแสงสว่าง ได้แก่นำแสงสว่าง คือพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วมาชี้แจง เขาเหล่าใดถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทักขิณาของเขาเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เช่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 291
สรวงดีแล้ว บูชาชอบแล้ว เพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทาน มีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก ระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้กำจัดมลทิน คือความตระหนี่พร้อมด้วยรากเหง้า ไม่มีใครติเตียนได้ ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงฐานะอันเป็นสวรรค์.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน คือ โดยเหตุ หรือโดยความถูกต้อง. บทว่า ตยา เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งปัญจมีวิภัตติ.
บัดนี้ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงถึงเหตุที่กล่าวว่า ธมฺเมน ดังนี้นั้น จึงตรัสว่า ยํ สงฺฆสฺมึ อปฺปเมยฺเย ปติฏฺาเปสิ ทกฺขิณํ การถวายสังฆทานไม่มีอะไรเปรียบได้. บทว่า อปฺปเมยฺเย ได้แก่ ไม่อาจคาดคะเนด้วยคุณภาพ และผลวิเศษของการกบุคคลที่ถวายในท่านได้.
ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับความนี้เฉพาะพระพักตร์ และทรงกำหนดเฉพาะพระพักตร์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปุจฺฉิโต ฉันได้ทูลถามแล้ว ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยชมานานํ คือ ให้อยู่. แสดงถึงการลบนิคหิต ในบทว่า ปุญฺเปกฺขาน ปาณินํ ได้แก่ ของสัตว์ทั้งหลายผู้หวังผลแห่งบุญ. บทว่า โอปธิกํ คือ ขันธ์ ๕ ชื่ออุปธิ ชื่อว่า โอปธิกะ เพราะสร้างขันธ์ ๕ เป็นปกติ หรือขวนขวายให้เกิดขันธ์ ได้แก่ ให้เกิดอัตภาพ คือให้วิบากอันเป็นไปในปฏิสนธิ.
บทว่า ชานํ กมฺมผลํ สกํ ได้แก่ รู้บุญและผลแห่งบุญของสัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 292
ทั้งหลายด้วยตนเอง ดุจมะขามป้อมบนฝ่ามือฉะนั้น หรือบทว่า สกํ ท่านแผลง ย เป็น ก อธิบายว่า สยํ อตฺตนา คือด้วยตนเอง.
บทว่า ปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติอยู่ คือทั้งอยู่ในมรรค. บทว่า อุชุภูโต ได้แก่ ทักขิไณยบุคคลผู้ถึงความเป็นผู้ตรงด้วยการปฏิบัติตรง. บทว่า ปญฺาสีลสมาหิโต ได้แก่ ตั้งมั่นแล้วด้วยปัญญาและศีล เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิและศีล คือประกอบแล้วด้วยทิฏฐิอันเป็นอริยะ และด้วยศีลอันเป็นอริยะ. ท่านชี้ถึงความเป็นสงฆ์ชั้นเยี่ยมของผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิและศีลนั้น ด้วยบทว่า อุชุภูโต นั้น. ก็ชื่อว่า สงฆ์ เพราะสืบต่อกันมาด้วยทิฏฐิและศีลเสมอกัน. อีกอย่างหนึ่ง จิตตั้งมั่นแล้วเป็นสมาธิ. ชื่อว่า ปญฺาสีลสมาหิโต เพราะมีปัญญา ศีล และสมาธิ. ท่านชี้ถึงความเป็นทักขิไณยบุคคลของสงฆ์นั้นเพราะเป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยไตรสิกขา เป็นต้น ด้วยบทว่า ปญฺาสีลสมาหิโต นั้น.
บทว่า วิปุโล มหคฺคโต ชื่อว่า มหัคคตะ เพราะพระสงฆ์ถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยคุณทั้งหลาย. ชื่อว่า วิปุละ เพราะเป็นเหตุให้เกิดผลไพบูลย์แก่การกบุคคลผู้ถวายทานในท่าน. บทว่า อุทธีว สาคโร ความว่า พระสงฆ์นั้นว่าโดยคุณหาอะไรเปรียบมิได้ เหมือนอย่างสาครมีชื่อว่า อุทธิ เพราะเป็นที่ทรงน้ำไว้ ยากที่จะหาอะไรเปรียบได้ว่า มีน้ำเท่านี้ๆ ทะนาน. หิ ศัพท์ในบทว่า เอเตหิ เป็นนิบาตลงในอวธารณะ มีความว่า เอเต เจว เสฏฺา พระสงฆ์เหล่านี้แลเป็นผู้ประเสริฐที่สุด. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ยาวตา ภิกฺขเว สงฺฆา วา คณา วา ตถาคตสาวกสงฺโฆ เตสํ อคฺคมกฺขายติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ดี คณะก็ดี เรากล่าวว่า สงฆ์ผู้เป็นสาวกของตถาคต เป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 293
เลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั้น ดังนี้. บทว่า นรวีรสาวกา ได้แก่ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรในหมู่นรชนทั้งหลาย. บทว่า ปภงฺกรา ได้แก่ ทำแสงสว่าง คือญาณแก่ชาวโลก. บทว่า ธมฺมมุทีรยนฺติ ได้แก่ แสดงธรรม. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดิษฐานแสงสว่างแห่งพระธรรมไว้ในอริยสงฆ์.
บทว่า เย สงฺฆมุทฺทิสฺส ททนฺติ ทานํ ความว่า สัตว์เหล่าใดถวายทานมุ่งต่ออริยสงฆ์ในสมมติสงฆ์ แม้โดยที่สุดโคตรภูสงฆ์ เป็นอันว่าสัตว์เหล่านั้นถวายทานดีแล้ว แม้การบูชาด้วยการเคารพและต้อนรับ ก็เป็นการบูชาดีแล้ว แม้บูชาด้วยเครื่องบูชาใหญ่ก็เป็นการบูชาดีแล้วเหมือนกัน. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทานมีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้ว อธิบายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญยกย่องชมเชยถึงทานที่มีผลมากโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคลิกภาพมีผลมากกว่า สังฆทานด้วยปริยายอะไรๆ เลย สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์นั่นแลเป็นประมุขของผู้บูชา และพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้
บทว่า เอตาทิสํ ปุญฺมนุสฺสรนฺตา ความว่า ระลึกถึงทานที่ตนทำมุ่งสงฆ์เช่นนี้. บทว่า เวทชาตา ได้แก่ เกิดโสมนัส.
บทว่า วิเนยฺย มจฺเฉรมลํ สมูลํ ความว่า ความตระหนี่ชื่อว่า เป็นมลทิน เพราะทำจิตให้เศร้าหมอง หรือว่าความตระหนี่ด้วย มลทิน มีริษยา โลภะและโทสะเป็นต้นด้วย ชื่อว่า มจฺเฉรมลํ ความตระหนี่และมลทิน. โยชนาแก้ว่า กำจัด คือ นำออก ข่มมลทินคือความตระหนี่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 294
พร้อมทั้งรากเหง้ามีความไม่รู้ ความสงสัย และความผันแปรเป็นต้นเสียได้ ทั้งไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงฐานะ คือ สวรรค์. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ก็ท้าวสักกะจอมเทพทรงบอกความเป็นไปทั้งหมดนี้แก่ท่านมหาโมคคัลลานะด้วยคาถามีอาทิว่า ททฺทลฺลมานา วณฺเณน ดังนี้. ท่านมหาโมคัลลานะจึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำข้อนั้นให้เป็นเหตุเกิดเรื่องราวแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมพร้อมเพรียงกัน. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาทัททัลลวิมาน