[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 291
๕. มหิสราชจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยากระบือ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 291
๕. มหิสราชจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยากระบือ
[๑๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระบือ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ มีกายอ้วนพี มีกำลังมาก ใหญ่โต ดูน่ากลัวพิลึก ประเทศไรๆ ในป่าใหญ่นี้อันเป็นที่อยู่ของฝูงกระบือ มีอยู่ที่เงื้อมเขาก็ดี ที่ซอกห้วยธารเขาก็ดี ที่โคนไม้ก็ดี ที่ใกล้บึงก็ดี เราเที่ยวไปในที่นั้นๆ เมื่อเราเที่ยวไปในป่าใหญ่ ได้เห็นสถานที่อันเจริญ เราจึงเข้าไปสู่ที่นั้น แล้วยืนพักอยู่และนอนอยู่ ครั้งนั้นลิงป่าผู้ลามก หลุดหลิก ล่อกแล่ก มา ณ ที่นั้น ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเราที่คอ ที่หน้าผาก ที่คิ้ว ย่อมเบียดเบียนเราวันหนึ่งครั้งหนึ่ง วันที่ ๒ วันที่ ๓ แม้วันที่ ๔ ก็วันละครั้ง เราจึงเป็นผู้อันลิงนั้นเบียดเบียนตลอดกาลทั้งปวง เทวดาเห็นเราถูกลิงเบียดเบียน ได้กล่าวกะเราดังนี้ว่า ท่านจงยังลิงลามกตัวนี้ ให้ฉิบหายตายโหงเสีย ด้วยเขาและกีบเถิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 292
เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ในครั้งนั้นแล้ว เราได้ตอบเทวดานั้นว่า เหตุไรท่านจะให้เราเปื้อนซากศพอันลามกไม่เจริญเล่า ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็พึงเป็นผู้เลวกว่ามัน ศีลของเราก็จะพึงแตก และวิญญูชนทั้งหลายก็จะพึงติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายด้วยความบริสุทธิ์ ยังประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ที่น่าละอายเสียอีก อย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเล่า บุคคลผู้มีปัญญาอดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา ฉะนี้แล.
จบ มหิสราชจริยาที่ ๕
อรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
บทว่า มหึโส ปวนจารโก โยชนาแก้ว่าในกาลเมื่อเราเป็นกระบือป่าเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่.
บทว่า ปวฑฺฒกาโย มีกายอ้วนพี คือมีกายเติบใหญ่ด้วยวัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 293
สมบูรณ์และด้วยความอ้วนของอวัยวะน้อยใหญ่.
บทว่า พลวา คือมีกำลังมาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง.
บทว่า มหนฺโต คือมีร่างใหญ่. นัยว่ากายของพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้นประมาณเท่าช้างหนุ่ม.
บทว่า ภีมทสฺสโน ดูน่ากลัวพิลึก คือดูน่ากลัวเพราะให้เกิดความกลัวแก่ผู้ไม่รู้จักศีล เพราะร่างใหญ่โตและเพราะเป็นกระบือป่า.
บทว่า ปพฺภาเร คือที่เงื้อมเขามีหินย้อย.
บทว่า ทกาสเย คือที่ใกล้บึง.
บทว่า โหเตตฺถ านํ คือในป่าใหญ่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของกระบือป่า.
บทว่า ตหึ ตหึ คือในป่านั้นๆ.
บทว่า วิจรนฺโต คือเที่ยวไปเพื่อหาความผาสุกในการอยู่.
บทว่า านํ อทฺทส ภทฺทกํ ได้เห็นสถานที่อันเจริญ คือเมื่อเราเที่ยวไปอย่างนี้ได้เห็นสถานที่โคนไม้อันเป็นที่เจริญในป่าใหญ่นั้น เป็นความผาสุกของเรา. ครั้นเห็นแล้วเราจึงเข้าไปยังที่นั้น ยืนและนอน หาอาหารในตอนกลางวันแล้วไปยังโคนต้นไม้นั้น ยังกาลเวลาให้ล่วงไปด้วยการยืนและการนอน. ท่านแสดงไว้ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระบือในหิมวันตประเทศ ครั้นเจริญวัยสมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงมีร่างใหญ่ประมานเท่าช้างหนุ่ม เที่ยวไปตามเชิงเขา เงื้อมเขา ซอกเขา ป่าและห้วยเป็นต้น เห็นโคนต้นไม้ใหญ่น่าสบายต้นหนึ่ง หาอาหารแล้วก็มาอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้นั้นในเวลากลางวัน. ครั้งนั้นมีลิงลามกตัวหนึ่งลงจากต้นไม้ขึ้นหลังพระมหาสัตว์ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรด จับเขาโหนตัว จับหางเล่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 294
ห้อยโหน. พระโพธิสัตว์ไม่สนใจการทำอนาจารของลิงนั้น เพราะถึงพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู. ลิงยิ่งกำเริบทำอย่างนั้นบ่อยๆ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อเถตฺถ กปิ มาคนฺตฺวา คือลิงมา ณ ที่นั้น. ม อักษรเป็นบทสนธิ.
บทว่า ปาโป คือลามก.
บทว่า อนริโย คือ ลิงนั้นเหลาะแหละด้วยความประพฤติในความเสื่อมและด้วยไม่ประพฤติในความเจริญ อธิบายว่ามีมารยาทเลว.
บทว่า ลหุ คือ ล่อกแล่ก.
บทว่า ขนฺเธ คือที่ลำคอ.
บทว่า มุตฺเตติ คือถ่ายปัสสาวะ.
บทว่า โอหเนติ (๑) คือถ่ายอุจจาระ.
บทว่า ตํ คือ มํ ได้แก่ เราผู้เป็นกระบือในครั้งนั้น.
บทว่า สกิมฺปิ ทิวสํ คือ เบียดเบียนเราวันหนึ่งบ้าง ตลอดกาลทั้งปวงบ้าง. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ทูเสติ มํ สพฺพกาลํ เบียดเบียนเราตลอดกาลทั้งปวง. คือไม่เบียดเบียนเราเพียง ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ที่แท้เบียดเบียนเราด้วยการถ่ายปัสสาวะเป็นต้นแม้ตลอดกาลทั้งปวง. ท่านแสดงไว้ว่า ลิงนั้นขึ้นหลังเราในเวลาที่จะถ่ายปัสสาวะเป็นต้นเท่านั้น.
บทว่า อุปทฺทุโต คือเบียดเบียน. อธิบายว่าเราถูกลิงนั้นเบียดเบียนด้วยการห้อยโหนเป็นต้นที่เขา ด้วยการเอาของสกปรกมีปัสสาวะเป็นต้นมา และด้วยรดน้ำปนเปือกตมและฝุ่นล้างหลายครั้งที่ปลายเขา และปลายหางเพื่อนำสิ่งสกปรกออก.
บทว่า ยกฺโข คือเทวดาที่สิงสถิตอยู่บนต้นไม้นั้น.
บทว่า มํ อิทมพฺรวิ คือเทวดาที่สิงสถิตอยู่บนต้นไม้ เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ว่า
๑. ในอรรถกถาเป็น โอทเทติ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 295
ท่านมหิสราช เพราะเหตุไรท่านจึงอดทนความดูแคลนของลิงชั่วนี้อยู่ได้ จึงได้กล่าวคำนี้กะเราว่า ท่านจงยังลิงลามกตัวนี้ให้ฉิบหายเสียด้วยเขาและกีบเถิด.
บทว่า เอวํ วุตฺเต ตทา ยกฺเข คือเมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้ในกาลนั้นแล้ว.
บทว่า อหํ ตํ อิทมพฺรวึ คือเราได้กล่าวตอบกะเทวดานั้นผู้กล่าวอยู่.
บทว่า กุณเปน คือด้วยซากศพเพราะเป็นสิ่งน่าเกลียดอย่างยิ่งของคนดีมีชาติสะอาดด้วยการไหลออกแห่งอสุจิ คือกิเลสและเพราะเป็นเช่นกับซากศพ ด้วยมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป.
บทว่า ปาเปน คือ ลามกด้วยการฆ่าสัตว์.
บทว่า อนริเยน ท่านแสดงไว้ว่า ท่านเทวดา เพราะเหตุไรท่านจึงดูแคลนเราด้วยสิ่งอันไม่เจริญ เพราะเป็นธรรมของคนเลวมีพรานเนื้อ เป็นต้น ผู้ไม่เจริญไม่ใช่คนดี ถ้อยคำที่ท่านกล่าวชักชวนเราในความชั่วนั้นไม่สมควรเลย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศโทษในธรรมอันลามกนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ยทิหํ ดังนี้.
บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ท่านเทวดาผู้เจริญ ผิว่าเราโกรธลิงนั้น. เราก็เลวกว่ามัน. เพราะลิงนั้นเป็นลิงพาล เป็นลิงเลว ด้วยไม่ประพฤติธรรม. หากเราพึงประพฤติธรรมลามกอันมีกำลังกว่าลิงนั้น. เราก็จะพึงเป็นผู้ลามกกว่าลิงนั้นด้วยเหตุนั้นมิใช่หรือ. ข้อที่เรารู้โลกนี้โลกหน้าอย่างดียิ่ง แล้วดำรงอยู่ได้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่นโดยส่วนเดียวเท่านั้น พึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 296
ประพฤติธรรมลามกเห็นปานนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก. มีซิ.
บทว่า สีลญฺจ เม ปภิชฺเชยฺย ศีลของเราก็จะพึงแตก คือ เราพึงทำความลามกเห็นปานนั้น. ศีลบารมีของเราจะพึงแตก.
บทว่า วิญฺญู จ ครเหยฺยุ มํ คือ เทวดาและมนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตจะพึงติเตียนเราได้ว่า พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย จงดูพระโพธิสัตว์นี้เที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ได้ทำความชั่วเห็นปานนี้แล้ว.
บทว่า หีฬิตา ชีวิตา วาปิ. วา ศัพท์ เป็นอวธารณะ. อธิบายว่า ตายด้วยความบริสุทธิ์ คือ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ยังประเสริฐอุดมดีกว่ามีชีวิตอยู่ ถูกวิญญูชนทั้งหลายติฉินนินทาด้วยประการฉะนี้.
บทว่า กฺยาหํ ชีวิตเหตูปิ, กาหามิ ปรเหนํ อย่างไรเราจักเบียดเบียนผู้อื่นแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเล่า คือ เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เราจักทำการเบียดเบียนสัตว์อื่น เอาชีวิตของเราเป็นเดิมพันได้อย่างไรเล่า อธิบายว่า ไม่มีเหตุในการทำความเบียดเบียนนี้.
กระบือกล่าวว่า ลิงนี้สำคัญสัตว์อื่นว่า เป็นเหมือนเราจักทำอนาจารอย่างนี้. แต่นั้นกระบือที่ดุจักฆ่าลิงที่ทำไปอย่างนั้นเสีย. การตายของลิงนี้ด้วยสัตว์อื่นจักเป็นอันพ้นจากทุกข์และจากการฆ่าสัตว์ของเรา.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 297
ลิงนี้จะสำคัญสัตว์อื่นเป็นเหมือนเรา จักทำอย่างนี้แม้แก่สัตว์อื่นบ้าง. สัตว์เหล่านั้นจัดฆ่าลิงนั้นเสีย. ความตายของลิงนั้นจักเป็นอันพ้นเราไปดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มเมวายํ ตัดบทเป็น มํ อิว อยํ. บทว่า อญฺเปิ คือ แม้แก่สัตว์เหล่าอื่น. บทที่เหลือมีความดังได้กล่าวแล้ว
บทว่า หีนมชฺฌิมอุกฺกฏฺเ คือ เป็นนิมิตในเพราะของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง.
บทว่า สหนฺโต อวมานิตํ คือ อดกลั้นคำดูหมิ่นเหยียดหยามที่คนเหล่านั้นมิได้จำแนกไว้เป็นไปแล้ว.
บทว่า เอวํ ลภติ สปฺปญฺโ คนมีปัญญามิได้ทำการจำแนกในคนเลวเป็นต้นอย่างนี้ เข้าไปตั้งขันติ เมตตาและความเอ็นดูไว้ อดกลั้นความผิดนั้น เพิ่มพูนศีลบารมีเป็นต้น ย่อมได้คือแทงตลอดสัพพัญญุตญาณตามใจปรารถนา คือ ตามต้องการ. ความปรารถนาของเขานั้นอยู่ไม่ไกลนัก ด้วยประการฉะนี้.
พระมหาสัตว์เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้ จึงแสดงธรรมแก่เทวดา. กระบือนั้นล่วงไป ๒ - ๓ วัน ก็ได้ไปที่อื่น. กระบือดุตัวอื่นได้ไปตั้งหลักฐานอยู่ ณ ที่นั้นเพราะเป็นที่อยู่สบาย. ลิงชั่วสำคัญว่า กระบือตัวนี้ก็คือกระบือตัวนั้นนั่นเอง จึงขึ้นหลังกระบือดุนั้น แล้วได้ทำอนาจารในที่นั้นอย่างเดียวกัน. กระบือดุตัวนั้นจึงสลัดลิงให้ตกลงบนพื้นดิน เอาเขาขวิดที่หัวใจ เอาเท้าเหยียบจนแหลกเหลวไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 298
มหิสราชในครั้งนั้น คือ พระโลกนาถในครั้งนี้.
แม้ในมหิสราชจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์นั้นตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่งพึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ในจริยานี้ ดุจในหัตถินาคจริยา ภูริทัตตจริยา จัมเปยยจริยา และนาคราชจริยา.
จบอรรถกถามหิสราชจริยาที่ ๕