๘. ภรตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระภรตเถระ
โดย บ้านธัมมะ  19 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40553

[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 135

เถรคาถา ทุกนิบาต

วรรคที่ ๓

๘. ภรตเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภรตเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 135

๘. ภรตเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภรตเถระ

[๒๘๕] ได้ยินว่า พระภรตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

มาเถิดนันทกะ เราจงพากันไปยังสำนักของพระอุปัชฌายะเถิด เราจักบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นมุนี มีความเอ็นดูเรา ทรงให้บรรพชาเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้น เราก็ได้บรรลุแล้ว ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง เราก็ได้บรรลุแล้ว.

อรรถกถาภรตเถรคาถา

คาถาของท่านพระภรตเถระ เริ่มต้นว่า เอหิ นนฺทก คจฺฉาม. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

ได้ยินมาว่า พระเถระนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง ถือเอาคู่แห่งรองเท้า น่าพึงใจและน่าดู มีสัมผัสที่อ่อนนุ่ม สวมใส่สบาย เดินทางไป เห็นพระศาสดากำลังทรงจงกรมอยู่ มีใจเลื่อมใส น้อมเอารองเท้าเข้าไปถวาย กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงสวมรองเท้า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 136

อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสวมรองเท้า เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลแห่งคฤหบดี ในจัมปานคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า ภรตะ. เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว ฟังความที่พระโสณเถระบวชแล้ว เกิดความสลดใจว่า แม้ขึ้นชื่อว่า พระโสณเถระก็ยังบวช ดังนี้ แล้วออกบวช กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว กระทำกรรมในวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ต่อกาล ไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน มีพระจักษุ เสด็จออกจากที่ประทับสำราญกลางวันแล้ว เสด็จขึ้นถนน เราสวมรองเท้าที่ทำอย่างดีออกเดินทางไป ณ ที่ นั้น เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งามน่าดูน่าชม เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส ถอดรองเท้าออกวางไว้แทบพระบาท แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระสุคตผู้เป็นมหาวีรบุรุษ เป็นใหญ่ เป็นผู้นำชั้นพิเศษ ขอเชิญพระองค์ทรงสวมรองเท้าเถิด ข้าพระองค์จักได้ผลจากรองเท้าคู่นี้ ขอความต้องการของข้าพระองค์จงสำเร็จเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน ทรงสวมรองเท้าแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดเลื่อมใสถวายคู่แห่งรองเท้าแก่เรา ด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 137

ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว เทวดาทุกๆ องค์ได้ทราบพระพุทธดำรัสแล้ว มาประชุมกัน ต่างก็มีจิตปีติ ดีใจ เกิดความโสมนัส ประนมกรอัญชลี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เพราะการถวายรองเท้านี้แล ผู้นี้จักเป็นผู้ถึงความสุข จักเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๕ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ ในกัปซึ่งนับไม่ถ้วน แต่ภัทรกัปนี้ สกุลโอกากราช จักสมภพพระศาสดา มีพระนามว่า โคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักเป็นทายาทในธรรม ของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน ผู้นี้เกิดในเทวโลก หรือในมนุษยโลก จักเป็นผู้มีปัญญา จักได้ยานอันเปรียบด้วยยานของเทวดา ปราสาท วอ ช้าง ที่ประดับประดาแล้ว และรถที่เทียมแล้วด้วยม้าอาชาไนย ย่อมเกิดปรากฏแก่เราทุกเมื่อ แม้เมื่อเราออกบวช ก็ได้ออกบวชด้วยรถ ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อกำลังปลงผม นี้เป็นลาภของเรา เราได้ดีแล้ว คือ การค้าขายเราได้ประกอบถูกทางแล้ว เราถวายรองเท้าคู่หนึ่ง จึงได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ในกัปอันประมาณมิได้ นับแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายรองเท้าใด ด้วยการถวายรองเท้านั้น


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 138

เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายรองเท้า. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว เมื่อพระนันทกเถระผู้เป็นน้องชายของตน กระทำการพยากรณ์พระอรหัตตผล โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง เมื่อจะบอกถึงความปริวิตก อันเกิดขึ้นแล้ว แก่พระนันทกเถระว่า บัดนี้แม้ พระนันทกะ ก็เป็นพระอรหัตแล้ว เอาเถิด เราแม้ทั้งสองไปสู่สำนักของพระศาสดาแล้ว จักกราบทูลความที่เราทั้งสองเป็นผู้มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว ดังนี้ ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

มาเถิดนันทกะ เราจงพากันไปยังสำนักของพระอุปัชฌาย์เถิด เราจักบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์ ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นมุนีมีความเอ็นดูเรา ทรงให้บรรพชาเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้นเราก็ได้บรรลุแล้ว ความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง เราก็ได้บรรลุแล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทก เป็นอาลปนะ (คำเรียกร้อง). บทว่า เอหิ เป็นคำเรียกให้พระนันทกเถระมายังสำนักของตน. บทว่า คจฺฉาม เป็นคำชวนให้พระนันทกเถระ กระทำกิจที่ควรทำร่วมกับตน.

บทว่า อุปชฺฌายสฺส หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิบายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมควรเรียกขานว่าเป็นพระอุปัชฌาย์โดยพิเศษ เพราะทรงเข้าไปเพ่งโทษน้อยและโทษใหญ่ ของสัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก โดยทรงตรวจดูอัธยาศัย อนุสัย และจริตเป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริง ด้วยพระสมันตจักษุ และด้วยพุทธจักษุ เพื่อจะแสดงถึงประโยชน์ของการไป


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 139

พระเถระจึงกล่าวว่า สีหนาทํ นทิสฺสาม พุทฺธเสฏฺสฺส สมฺมุขา เราจะบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ดังนี้. อธิบายว่า เราจักบันลืออรรถพจน์อันชื่อว่า สีหนาท เพราะเป็นการบันลือ อย่างไม่เกรงขาม โดยการประมวลมาซึ่งคุณพิเศษตามความเป็นจริงต่อหน้า คือเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ชื่อว่า ประเสริฐที่สุด เพราะความเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง นั้นแล หรือประเสริฐสุดกว่าท่านผู้รู้ทั้งหลาย มีสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นต้น.

ก็พระเถระเมื่อจะแสดงความเป็นผู้ประสงค์จะบันลือสีหนาท จึง กล่าวคาถามีอาทิว่า ยาย ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่สองดังต่อไปนี้ บทว่า ยาย ความว่า เพื่อประโยชน์อันใด อธิบายว่า เพื่อข้อปฏิบัติอันสมควรแก่ประโยชน์อันใด. บทว่า โน เท่ากับ อมฺหากํ แปลว่า แก่เราทั้งหลาย. บทว่า อนุกมฺปาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า. ยังเราแม้ทั้งสองให้บรรพชา คือให้บวช ด้วยทรงอนุเคราะห์. บทว่า มุนี ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า โส โน อตฺโถ อนุปฺปตฺโต มีอธิบายว่า ประโยชน์นั้น ได้แก่พระอรหัตตผล อันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง อันเราทั้งหลาย คือเราทั้งสอง ถึงแล้วโดย ลำดับ คือบรรลุแล้ว.

จบอรรถกถาภรตเถรคาถา