๖. สุกกาเถรีคาถา
โดย บ้านธัมมะ  21 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40717

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 97

เถรีคาถา ติกนิบาต

๖. สุกกาเถรีคาถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 97

๖. สุกกาเถรีคาถา

    [๔๓๕] พวกมนุษย์ใน กรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน มัวดื่มน้ำผึ้งดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาพระสุกกาเถรี ผู้แสดงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันเลยเหมือนชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญา ย่อมดื่มคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมทำผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกล ดื่มน้ำฝนฉะนั้น. พระสุกกาเถรีมีธรรมบริสุทธิ์ปราศจากราคะ มีจิตตั้งมั่นชนะมารพร้อมทั้งพาหนะทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด.

    จบ สุกกาเถรีคาถา

๖. อรรถกถาสุกกาเถรีคาถา

    คาถาว่า กึ เม กตา ราชคเห เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่อสุกกา.แม้พระเถรีชื่อสุกกาองค์นี้ ก็ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เกิดในเรือนตระกูลในพระนครพันธุมดีรู้ความแล้วไปวิหารกับอุบาสิกาทั้งหลาย ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 98

ได้ศรัทธาบวชแล้วได้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปฏิภาณ เธอประพฤติพรหมจรรย์ในที่นั้นหลายพันปี ตายอย่างปุถุชนนั่นเอง บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.

    เธอรักษาศีลในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้ คือ กาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี แม้แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี แม้แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเวสสภูก็เหมือนกัน ได้เป็นพหูสูต ทรงธรรม เธอบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ โกนาคมนะ และกัสสปะ ได้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นธรรมกถึกเหมือนกัน.

    เธอสั่งสมบุญเป็นอันมากในภพนั้นๆ ด้วยประการฉะนี้ ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายเท่านั้น ในพุทธุปปาทกาลนี้เกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาลกรุงราชคฤห์ ได้นามว่า สุกกา เธอรู้ความแล้วได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกาในคราวพระศาสดาเสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ ต่อมาได้ฟังธรรมในสำนักของพระธัมมทินนาเถรี เกิดความสังเวช บวชในสำนักของพระธัมมทินนาเถรีนั้นเองเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายเพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า (๑)

    ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าวิปัสสีมีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ้งซึ่งธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้นข้าพเจ้าเกิดในตระกูลหนึ่งในพระนครพันธุมดีได้ฟังธรรมของพระมุนีแล้วบวชเป็นภิกษุณี เป็นพหูสูต ทรงธรรมมีปฏิภาณ กล่าวธรรมกถาไพเราะ ปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ครั้งนั้น ข้าพเจ้าแสดงธรรมกถา เพื่อ


    ๑. ขุ. ๓๓/ข้อ ๑๗๕ สุกกาเถรีอปทาน.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 99

ประโยชน์แก่ชุมชนทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพธิดามียศ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าสิขี มีรัศมีดังไฟ งามสง่าอยู่ในโลกด้วยยศ ประเสริฐกว่าเหล่าบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าบวชแล้ว เป็นผู้ฉลาดในพระพุทธศาสนายังพระพุทธพจน์ให้กระจ่าง แล้วเคลื่อนจากอัตภาพแม้นั้นไปสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าเวสสภู ผู้มีธรรมดังว่ายานใหญ่ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วแม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนอย่างก่อนนั้นแลบวชแล้วเป็นผู้ทรงธรรม ยังพระพุทธศาสนาให้กระจ่างแล้ว ไปเมืองสวรรค์ที่น่ารื่นรมย์ ได้เสวยความสุขมาก ในภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้อุดมพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นสรณะของนรชน เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนอย่างก่อนนั้นแลบวชแล้วยัง พระพุทธศาสนาให้กระจ่างจนตลอดชีวิต เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นไตรทศเหมือนอย่างไปที่อยู่ของตน ในภัทรกัปนี้แล พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่าโกนาคมนะผู้ประเสริฐกว่าเหล่าบัณฑิต สูงสุดกว่าสรรพสัตว์เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็บวชในศาสนาของพระองค์ผู้คงที่ เป็นพหูสูต ทรงธรรม ยังพระ-


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 100

พุทธศาสนาให้กระจ่าง ในภัทรกัปนี้เหมือนกันพระมุนีผู้สูงสุดพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นสรณะแห่งสัตว์โลกไม่มีข้าศึก ถึงที่สุดแห่งมรณะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วข้าพเจ้าบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นปราชญ์ของนรชนแม้พระองค์นั้น ศึกษาพระสัทธรรมแล้วชำนาญในปริปุจฉา ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้ามีศีลงาม มีความละอาย ฉลาดในไตรสิกขา แสดงธรรมกถามากจนตลอดชีวิต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นและด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง สั่งสมรัตนะไว้มาก. ในกรุงราชคฤห์อันอุดม เมื่อพระผู้เป็นนายกของโลกอันภิกษุขีณาสพพันหนึ่งเป็นบริวารสรรเสริญแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกอินทรีย์แล้วพ้นขาดจากสรรพกิเลส มีพระฉวีเปล่งปลั่งดังแท่งทองสิงคี พร้อมด้วยพระขีณาสพ ซึ่งเคยเป็นชฏิลผู้ฝึกอินทรีย์แล้ว พ้นขาดจาก สรรพกิเลสเสด็จเข้ากรุงราชคฤห์.

    ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธานุภาพนั้น และได้ฟังพระธรรมเป็นที่สั่งสมคุณแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บูชาพระองค์ผู้มีพลธรรมมาก กาลต่อมาข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นภิกษุณี ในสำนักของพระธัมมทินนาเถรี ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายในเมื่อ


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 101

กำลังปลงผมอยู่ บวชแล้วไม่นาน ศึกษาศาสนธรรมได้ทั่ว. แต่นั้นได้แสดงธรรมในสมาคมมหาชน เมื่อข้าพเจ้าแสดงธรรมอยู่ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ประชุมชนหลายพัน. มียักษ์ตนหนึ่งได้ทราบธรรมนั้นแล้วเกิดอัศจรรย์ใจเลื่อมใสข้าพเจ้า ไปยังกรุงราชคฤห์. พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกัน มัวดื่มน้ำผึ้งดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาพระสุกกาเถรีผู้แสดงอมตบทกันเลย เหมือนชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญา ย่อมดื่มอมตบทนั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมทำผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝนฉะนั้น. ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์เป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ มีความชำนาญในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษุอันหมดจดวิเศษมีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ข้าแต้พระมหาวีระ ข้าพระองค์มีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์ ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ถอนภพทั้งหลายได้หมดแล้วตัดเครื่องผูกพันเหมือนช้างพังตัดเชือก เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐของข้าพเจ้า เป็นการ มาดีแล้วหนอข้าพเจ้าบรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้า


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 102

ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

    ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วได้เป็นมหาธรรมกถึก มีภิกษุณีประมาณ ๕๐๐ องค์เป็นบริวาร วันหนึ่งพระเถรีนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ฉันเสร็จแล้วเข้าไปยังสำนักภิกษุณี แสดงธรรมแก่บริษัทใหญ่ที่นั่งประชุมกันอยู่เหมือนคั้นรวงผึ้งให้คนดื่มรสน้ำผึ้ง เหมือนรดด้วยน้ำอมฤต บริษัทเงี่ยโสตฟังธรรมกถาของพระเถรีนั้นมีใจไม่ฟุ้งซ่าน ฟังอยู่โดยเคารพ ขณะนั้นเทวดาผู้สิงอยู่บนต้นไม้ท้ายที่จงกรมของพระเถรี เลื่อมใสในธรรมเทศนาจึงเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เที่ยวประกาศคุณของพระเถรีนั้นจากถนนนี้ไปตามถนนนั้นจากสี่แยกนี้ไปสีแยกนั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาเหล่านี้ว่า

    พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไรกันมัวดื่มน้ำผึ้งดีดนิ้วมืออยู่ ไม่เข้าไปหาพระสุกกาเถรีผู้แสดงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันเลย เหมือนชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญา ย่อมดื่มคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำกลับหลัง เป็นธรรมทำผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำฝน ฉะนั้น.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิ เม กตา ราชคเห มนุสฺสาความว่า พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านี้ทำอะไร คือขวนขวายในกิจชื่ออะไร. บทว่า มธุํ ปีตา ว อจฺฉเร ความว่า คนทั้งหลายถือรวงผึ้ง ดื่มน้ำผึ้งอยู่ เป็นผู้ปราศจากสัญญา ไม่อาจยกศรีษะขึ้นได้ฉันใด แม้พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านั้น ก็ฉันนั้น เหมือนเป็นผู้ปราศจากสัญญาในธรรม.


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 103

สัญญา ย่อมไม่อาจยกศีรษะขึ้นได้ อธิบายว่า มัวดีดนิ้วมืออยู่อย่างเดียวเท่านั้น. บทว่า เย สุกฺกํ น อุปาสนฺติ เทเสนฺตึ พุทฺธสาสนํ ความว่าไม่เข้าไปหา คือไม่เข้าไปนั่งใกล้พระเถรีสุกกา ผู้แสดงคือประกาศคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยแน่นอน ประกอบความว่า พวกมนุษย์ในกรุงราชคฤห์เหล่านั้น มัวทำอะไรกัน.

    บทว่า ตญฺจ อปฺปฏิวานียํ ความว่า ซึ่งธรรมนั้นอันเป็นธรรมไม่นำกลับ เป็นธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ เป็นธรรมทำความชุ่มชื่น ชื่อว่าเป็นธรรมทำผู้พึงให้ชุ่มชื่น เพราะเป็นธรรมไพเราะหรือเป็นธรรมจับใจโดยการฟังของชนผู้ฟัง ไม่เติมของปรุงรสอาหาร มีรสมากตามปกตินั่นแหละเพราะเหตุนั้นเองจึงชื่อว่ามีโอชะ. บาลีว่า โอสธํ ก็มี ความว่า เป็นยาสำหรับเยียวยาพยาธิคือวัฏทุกข์ทั้งหลาย. บทว่า ปิวนฺติ มญฺเญ สปฺปญฺยาวลาหกมิวทฺธคู ความว่า ผู้มีปัญญา คือคนผู้เป็นบัณฑิต เหมือนย่อมดื่มคือย่อมฟัง ราวกะว่าดื่มอยู่ซึ่งธรรมนั้น เหมือนคนเดินทางในที่กันดารเพราะขาดน้ำ ดื่มน้ำที่ไหลจากระหว่างเมฆฉะนั้น.

    มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้วมีใจเลื่อมใส เข้าไปยังสำนักของพระเถรี ฟังธรรมโดยเคารพ กาลต่อมา ในกาลเป็นที่ปรินิพพาน ซึ่งเป็นกาลสิ้นสุดอายุของพระเถรี พระเถรีพยากรณ์พระอรหัตตผล เพื่อประกาศว่าศาสนธรรมเป็นธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ ได้กล่าวคาถานี้ว่า

    พระสุกกาเถรีมีธรรมบริสุทธิ์ ปราศจากราคะมีจิตตั้งมั่น ชนะมาร พร้อมทั้งพาหนะ ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 104

    พระสุกกาเถรีแสดงตนนั่นแหละเป็นเหมือนผู้อื่น ด้วยบทว่า สุกฺกาในคาถานั้น. บทว่า สุกฺเกหิ ธมฺเมหิ ได้แก่ มีธรรมบริสุทธิ์ดี คือโลกุตรธรรม. บทว่า วีตราคา สมาหิตา ความว่า มีราคะไปปราศแล้วโดยประการทั้งปวง ด้วยอรหัตตมรรค มีจิตตั้งมั่นด้วยอรหัตตผลสมาธิ. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

    จบ อรรถกถาสุกกาเถรีคาถา