ไม่มีรูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน ในรูป ๒๘ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงที่เรียกว่าคน สัตว์ แท้จริงเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม (จิต เจตสิก และรูป) ที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงบัญญัติเรียกเป็นคน เป็นสัตว์ รูปธรรมต่างๆ (มหาภูตรูป คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอุปทายรูป) ที่ประชุมรวมกันเป็นกายนี้ แล้วทรงอยู่ ตั้งอยู่ในอาการต่างๆ จึงบัญญัติเรียกอาการต่างๆ เหล่านี้ว่าเดิน ยืน นั่ง นอน พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ผู้ศึกษาอย่างพวกเราจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง อะไรเป็นเพียงคำบัญญัติเรียก ท่านอาจารย์กล่าวเตือนเสมอๆ ว่าการศึกษาพระธรรมต้องละเอียด ต้องรอบรู้ในปริยัติ คือรอบรู้ในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งก็ไม่พ้นจาก ๖ ทาง ทางตา ทางหู ... และทางใจ แล้วขณะนี้รอบรู้หรือยัง เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ทางกายรู้เพียงเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เท่านั้น ขณะนี้รอบรู้อย่างนี้หรือเปล่า ต่อเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงเข้าใจสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะ จึงเห็นว่าสติปัฏฐานนั้นยังอีกไกล
ข้อความในพระไตรปิฏก...
อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร
อิริยาบถบรรพ
ภิกษุเมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ว่าเรานอน ท่านรู้ด้วยสติปัญญา ท่านมีความเห็นถูกเข้าใจถูก ไม่ว่าท่านจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ท่านก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ในกายที่กระทบก็เพียงเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เท่านั้น ที่กายที่เคลื่อนไปในอิริยาบถต่างๆ ได้ก็ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย ซึ่งก็คือจิต ถ้าไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม และอุปทายรูป ที่ประชุมรวมกัน จะมีอาการเดิน ยืน นั่ง นอน ได้อย่างไร
ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริง เรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้ อิริยาบถก็ไม่มี
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เปรียบเหมือนเอาผงแป้ง หรือ เม็ดทราย มาปั้นเป็นคน ในท่าทางที่กำลังนั่ง กำลังยืน ถ้าไม่มีผงแป้ง เม็ดทราย จะมีท่าทางการนั่ง การยืน หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่มี เพราะฉะนั้น ท่าทางต่างๆ มีได้ เพราะ อาศัย เม็ดทราย แต่ละเม็ดที่รวมกัน ประชุมกัน จึงมีท่าทาง ที่บัญญัติสมมติว่า เป็น ท่านั่ง ท่ายืน เป็นต้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง คือ เม็ดทราย ผงแป้ง จึงมีการบัญญัติว่าเป็นท่าทางต่างๆ
เพราะฉะนั้น จึงไม่มี รูป ท่าทางต่างๆ มีรูปยืน รูปเดิน เป็นต้นเพราะเป็นการสมมติ บัญญัติขึ้น แต่ สิ่งที่มีจริง คือ รูปธรรมที่ประชุมรวมกัน ที่เป็น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น จึงต้องแยกระหว่าง ปรมัตถ์ และ บัญญัติที่สมมติขึ้นมา
ดังนั้นอะไรนั่ง ไม่ใช่รูปนั่ง แต่มีรูปประชุมกัน จึงบัญญัติ สมมติเรียกว่า ท่าทางอย่างนี้ว่า นั่ง อะไรยืน ไม่ใช่รูปยืน แต่อาศัยรูปทั้งหลายประชุมกัน จึงบัญญัติ สมมติเรียกว่า ยืน จึงเป็นไปตามสัจจะที่ว่า เพราะ มีปรมัตถ์ จึงมีบัญญัติ เพราะมีรูปธรรม จึงมีการบัญญัติ ว่า นั่ง ยืน เดิน เป็นต้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตา, อาจารย์ผเดิม, อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีรูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน ในรูป ๒๘
อิริยาบถต่างๆ ไม่มีลักษณะ เพราะไม่ใช่ปรมัตถธรรม อิริยาบถเป็นบัญญัติที่สมมติขึ้น เพราะใส่ใจว่า มีเรา มีคน มีสัตว์ จึงมีอิริยาบถ คือ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน
สภาพธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา เมื่อยังไม่รู้ ไม่เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จึงมีความเห็นยึดถือในสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่า เป็นเรา เป็นตัวตน แต่เมื่อได้ศึกษา ได้ฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญา มีความเข้าใจถูก เห็นถูก จนกระทั่งสติเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน (ที่สมมติกันว่าเป็นอิริยาบถ) สติก็สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ทีละลักษณะตามความเป็นจริงได้ เพราะในขณะนั้นไม่มีท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน ท่าเดิน แต่มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ครับ
...ขอบพระคุณขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ. คำปั่น และ อ. ผเดิม เป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้กระจ่างขึ้นว่า ไม่มีรูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน เป็นเพียงสมมติ บัญญัติ เรียกเท่านั้น เพราะไม่มีสภาวะที่มีจริง แล้วมีผู้สงสัยว่าไม่มีรูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน แล้วที่เห็นๆ อยู่ว่ากำลังนั่งอยู่ กำลังยืนอยู่ กำลังเดินอยู่ กำลังนอนอยู่นี้ เป็นอะไร
อธิบายว่า เห็นอยู่ว่ากำลังนั่ง กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนอนอยู่ ถูกหรือผิด เพราะว่ารูปที่กำลังนั่งอยู่นั้นเป็นการคิดถึงเรื่องราวแล้ว แท้จริง เห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น ไม่มีคนกำลังนั่งอยู่ในสิ่งที่ปรากฏทางตา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
อะไรยืน ไม่ใช่รูปยืน แต่อาศัยรูปทั้งหลายประชุมกัน จึงบัญญัติ สมมติเรียกว่า ยืน จึงเป็นไปตามสัจจะที่ว่า เพราะ มีปรมัตถ์ จึงมีบัญญัติ เพราะมีรูปธรรม จึงมีการบัญญัติว่า นั่ง ยืน เดิน เป็นต้น ครับ ....
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...
มหาสติปัฏฐานสูตร