[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 161
๒. มัจฉริสูตร
ว่าด้วยเหตุที่ให้ทานไม่ได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 161
๒. มัจฉริสูตร
ว่าด้วยเหตุที่ให้ทานไม่ได้
[๘๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกามากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นไปสว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๘๗] เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
เพราะความตระหนี่ และความประมาทอย่างนี้ บุคคลจึงให้ทานไม่ได้ บุคคลผู้หวังบุญ รู้แจ้งอยู่ พึงให้ทานได้.
[๘๘] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
คนตระหนี่กลัวภัยใดย่อมให้ทานไม่ได้ ภัยนั้นนั่นแลย่อมมีแก่คนตระหนี่ผู้ไม่ให้ทาน คนตระหนี่ย่อมกลัวความหิวและความกระหายใด ความหิวและความกระหายนั้นย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแล ผู้เป็นพาลทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า ฉะนั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 162
บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจ ให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า.
[๘๙] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกลก็แบ่งของให้แก่พวกที่เดินทางร่วมกัน ชนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่าย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน ชนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งมีของมากก็ไม่ให้ ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อย นับเสมอด้วยพัน.
[๙๐] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ทาน พวกพาลชนเมื่อให้ ให้ได้ยาก กุศลธรรม พวกพาลชนเมื่อทำ ทำได้ยาก พวกอสัตบุรุษย่อมไม่ทำตาม ธรรมของสัตบุรุษ อันพวกอสัตบุรุษดำเนินตามได้แสนยาก เพราะฉะนั้น การไปจากโลกนี้ของพวกสัตบุรุษและของพวกอสัตบุรุษจึงต่างกัน พวกอสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก พวกสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ดำเนินไปสู่สวรรค์.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 163
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต.
[๙๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกท่านจงพึงคำของเราบ้าง
บุคคลแม้ใด พึงประพฤติธรรม ประพฤติสะอาด เป็นผู้เลี้ยงภริยา และเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อย ของบุคคลอย่างนั้น.
[๙๒] ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
การบูชาอันไพบูลย์ใหญ่โตนี้ ย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติธรรม เพราะเหตุอะไร เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น.
[๙๓] ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าไค้ตรัสกะเทวดานั้นด้วยพระคาถาว่า
บุคคลเหล่าหนึ่ง ตั้งอยู่ในกรรม ปราศจากความสงบ (ปราศจากธรรม)
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 164
โบยเขา ฆ่าเขา ทำให้เขาเศร้าโศกแล้วให้ทาน ทานนั้นจัดว่าทานมีหน้านองด้วยน้ำตา จัดว่าทานเป็นไปกับด้วยอาชญา จึงย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่ให้ด้วยความสงบ (ประพฤติธรรม) เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น โดยนัยอย่างนี้.
อรรถกถามัจฉริสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในมัจฉริสูตรที่ ๒ ต่อไป :-
บทว่า มจฺเฉรา จ ปมาทา จ แปลว่า เพราะความตระหนี่และความประมาท ได้แก่ เพราะความตระหนัก อันมีการปกปิดซึ่งสมบัติของตนไว้เป็นลักษณะ และเพราะความประมาท อันมีการอยู่ปราศจากสติเป็นลักษณะ.
จริงอยู่ บางคน คิดว่า เมื่อเราให้สิ่งนี้ สิ่งนี้ก็จักหมดไป วัตถุของเรา หรือวัตถุอันเป็นของมีอยู่ในบ้านก็จักไม่มี ดังนี้ ชื่อว่า ไม่ให้ทานเพราะความตระหนี่. บางคน แม้จะเพียงยังจิตให้เกิดขึ้นว่า เราควรให้ทาน ดังนี้ ก็ไม่มีเพราะความที่ตนเป็นผู้ขวนขวายในการเล่นเป็นต้น นี้ชื่อว่า ไม่ให้ทานเพราะความประมาท.
ข้อว่า เอวํ ทานํ น ทียติ แปลว่า อย่างนี้ บุคคลจึงให้ทานไม่ได้ อธิบายว่า ธรรมดาว่า ทานนี้อันเป็นเหตุนำมาให้ซึ่งยศ ให้ซึ่งสิริ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 165
ให้ซึ่งสมบัติ เห็นปานนี้ บุคคลก็ยังให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวถึงเหตุแห่งการไม่ให้เพราะความตระหนี่ เป็นต้น.
บทว่า ปุญฺํ อากงฺขมาเนน แปลว่า บุคคลผู้หวังบุญ คือ ผู้ปรารถนาบุญอันต่างด้วยเจตนามีบุพเจตนา เป็นต้น.
ในคำว่า เทยฺยํ โหติ วิชานตา แปลว่า รู้แจ้งอยู่ จึงให้ทานนั้น เทวดากล่าวว่าบุคคลรู้แจ้งว่า ผลของทานมีอยู่ ดังนี้ จึงให้ทาน.
ลำดับนั้น เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
คนตระหนี่กลัวภัยใดย่อมไม่ให้ทาน ภัยนั้นนั่นแลย่อมมีแก่คนตระหนี่ผู้ไม่ให้ทาน คนตระหนี่กลัวความหิว และความกระหายใด ความหิวและความกระหายนั้นย่อมถูกต้องคนตระหนี่นั้นนั่นแหละผู้เป็นพาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ฉะนั้น บุคคลควรกำจัดความตระหนี่อันเป็นสนิมในใจ (มลทิน) ให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า.
บทว่า ตเมว พลํ ผุสติ อธิบายว่า ความหิวและความกระหายย่อมถูกต้อง คือ ย่อมติดตาม ย่อมไม่ละบุคคลผู้เป็นพาลนั้นนั่นแหละทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.
บทว่า ตสฺมา ได้แก่ ก็เพราะความหิวและความกระหายย่อมถูกต้องบุคคลผู้เป็นพาลนี้นั่นแหละ.
บทว่า วิเนยฺย มจฺเฉรํ แปลว่าบุคคลควรกำจัดความตระหนี่ ได้แก่ นำความตระหนี่อันเป็นมลทินออก.
บทว่า ทชฺชา ทานํ มลาภิภู อธิบายว่า บุคคลผู้กำจัดมลทิน ครั้นกำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่นั้นแล้ว จึงให้ทานได้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 166
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ชนเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกลแบ่งของให้แก่พวกที่เดินทางร่วมกัน ชนเหล่านั้น เมื่อบุคคลเหล่าอื่นตายแล้ว ชื่อว่าย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตแต่ปางก่อน ชนพวกหนึ่ง เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งแม้ของมีมากก็ไม่ให้ ทักษิณา (ของทำบุญ) ที่ให้แต่ของน้อยนับเสมอด้วยพัน.
บทว่า เต มเตสุ น มิยฺยนฺติ ความว่า บุคคลเหล่านั้น เมื่อบุคคลอื่นตายแล้ว ชื่อว่า ย่อมไม่ตาย เพราะความตายคือความเป็นผู้มีปกติไม่ให้ทาน เหมือนอย่างว่า บุคคลผู้ตายแล้ว เมื่อบุคคลอื่นนำสิ่งของทั้งหลายมีข้าวและน้ำ เป็นต้น แม้มาก มาวางแวดล้อมแล้วบอกว่า สิ่งนี้จงเป็นของผู้นี้ สิ่งนี้จงเป็นของผู้นี้ ดังนี้ บุคคลผู้ตายแล้วเหล่านั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นมารับการแจกจ่ายได้ ฉันใด แม้บุคคลผู้ไม่ให้ทานก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น โภคะทั้งหลายของผู้ตายแล้ว และของผู้มีปกติไม่ให้ทานจึงชื่อว่าเสมอๆ กัน ด้วยเหตุนั้นแหละ บุคคลผู้มีปกติให้ทาน เมื่อชนทั้งหลายเห็นปานนี้ตายแล้ว ชื่อว่า ย่อมไม่ตาย.
บทว่า อทฺธานํว สหาวชฺชํ อปฺปสฺสิํ เย ปเวจฺฉนฺติ อธิบายว่าคนทั้งหลายผู้เดินทางไกลกันดารร่วมกันเมื่อเสบียงมีน้อย บุคคลผู้เดินทางร่วมกันก็แบ่ง คือ ย่อมให้ทานนั่นแหละแก่บุคคลผู้เดินทางร่วมกัน ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นแล คนเหล่าใด เดินทางร่วมกันไปสู่ทางกันดาร คือ สงสารอันมีเบื้องต้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 167
และที่สุดที่บุคคลรู้ไม่ได้ ครั้นเมื่อวัตถุที่พึงให้แม้มีน้อย ก็แบ่งของให้ได้ ชนเหล่านั้น ครั้นเมื่อชนอื่นตายแล้ว จึงชื่อว่า ย่อมไม่ตาย.
บทว่า เอสธมฺโม สนนฺตโน อธิบายว่า ธรรมนี้เป็นของโบราณ อีกอย่างหนึ่ง ธรรมนี้เป็นของบัณฑิตเก่า.
บทว่า อปฺปสฺเมเก แปลว่า ชนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อย.
บทว่า ปเวจฺฉนฺติ แก้เป็น ททนฺติ แปลว่า ย่อมให้.
บทว่า พหุเนเก น ทิจฺฉเร แปลว่า ชนพวกหนึ่งมีของมากก็ไม่ให้ คือว่า ชนบางพวกแม้มีโภคะมากมาย ก็ย่อมไม่ให้.
บทว่า สหสฺเสน สมํ มิตา แปลว่านับเสมอด้วยพัน คือ ย่อมเป็นเช่นกับทานพันหนึ่ง.
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ทาน พวกพาลชนเมื่อให้ ให้ได้ยาก กุศลธรรม พวกพาลชนเมื่อทำ ทำได้ยาก พวกอสัตบุรุษย่อมไม่ทำตาม ธรรมของสัตบุรุษอันพวกอสัตบุรุษดำเนินตามได้ยาก เพราะฉะนั้น การไปจากโลกนี้ของพวกสัตบุรุษและพวกอสัตบุรุษ จึงต่างกัน พวกอสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก พวกสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ดำเนินไปสู่สวรรค์.
บทว่า ทุรนฺวโย แปลว่า ดำเนินตามได้ยาก คือ เข้าถึงได้โดยยาก อธิบายว่า ให้เต็มได้ยาก.
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คำของใครหนอแลเป็นสุภาษิต ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คำของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกท่านจงฟังคำของเราบ้างว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 168
บุคคลแม้ใด ย่อมประพฤติธรรม ประพฤติสะอาด เป็นผู้เลี้ยงภรรยา และเมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่ง บูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น.
บทว่า ธมฺมํ จเร ได้แก่ ย่อมประพฤติธรรม คือ กุศลกรรมบถ ๑๐.
บทว่า โยปิ สมุญฺชกํ จเร แปลว่า บุคคลแม้ใด ย่อมประพฤติสะอาด ได้แก่ ประพฤติให้สะอาดด้วยสามารถแห่งการชำระล้างความชั่วทั่วๆ ไปตั้งแต่ต้น และด้วยสามารถแห่งการย่ำยี ดุจการนวดฟางข้าว เป็นต้น.
บทว่า ทารํ จ โปสํ แก้เป็น ทารํ จ โปเสนฺโต แปลว่า เลี้ยงดูภรรยา.
บทว่า ททํ อปฺปกสฺมิํ แปลว่า เมื่อของมีน้อยก็ให้ได้ ได้แก่ บุคคลใด แม้สักว่ามีใบไม้และผัก เป็นต้น มีน้อยก็ทำการแบ่งให้ได้นั่นแหละ บุคคลนั้น ชื่อว่าย่อมประพฤติธรรม.
บทว่า สตสหสฺสานํ แปลว่า เมื่อบุรุษแสนหนึ่ง คือ บุรุษที่ท่านแบ่งออกเป็นพวกละพันๆ นับได้เป็นร้อย จึงชื่อว่า บุรุษแสนหนึ่ง.
บทว่า สหสฺสยาคินํ แปลว่า บูชาภิกษุพันหนึ่ง มีวิเคราะห์ว่าชื่อว่า การบูชาพันหนึ่ง เพราะอรรถว่า การบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือว่าการบูชาอันเกิดแต่การบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ. การบูชาพันหนึ่งนั้น มีอยู่แก่ภิกษุนั้น เหตุนั้น ภิกษุนั้น จึงชื่อว่ามีการบูชาพันหนึ่ง.
ด้วยบทว่า บุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่งนั้น ย่อมเป็นอันแสดงถึง บิณฑบาตสิบโกฏิ (๑) หรือว่าสิบโกฏิแห่งกหาปณะ ตรัสว่า บุคคลเหล่าใด ย่อมให้ของมีประมาณเท่านี้ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ถึงค่าแม้ส่วนร้อย ของบุคคลอย่างนั้น. บุคคลนี้
(๑) คำว่า สิบโกฏินี้ หมายเอาส่วนที่ให้ผลเป็นพันส่วน แล้วคูณด้วยบุรุษแสนหนึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 169
ใดแม้เมื่อประพฤติธรรม ย่อมประพฤติสะอาด เลี้ยงดูภรรยา แม้ของมีน้อยก็ยังให้ได้ การบูชาภิกษุพันหนึ่งนั้น ย่อมไม่ถึงค่าแม้ส่วนร้อยของบุคคลผู้ประพฤติธรรมนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ทานอันใด สักว่าของผู้คุ้นเคยกันเพียงคนหนึ่งก็ดี สักว่าเป็นสลากภัตก็ดี อันบุคคลผู้ยากจนให้แล้ว ทานทั้งหลายของบุคคลเหล่านั้นแม้ทั้งหมด (๑) ย่อมไม่ถึงค่าส่วนร้อยของทานอันผู้ยากจนให้แล้ว.
ชื่อว่า กลํ แปลว่า ส่วนหนึ่งนั้น แบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วนบ้าง เป็น ๑๐๐ ส่วนบ้าง เป็น ๑,๐๐๐ ส่วนบ้าง ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาส่วนแห่งร้อยตรัสว่า ทานอันใด อันผู้ยากจนนั้นให้แล้ว ในเพราะทานนั้น ท่านจำแนกแล้วร้อยส่วน การให้บิณฑบาตโดยรวมตั้งสิบโกฏิของบุคคลนี้ ก็ไม่ถึงค่าแม้ส่วนหนึ่งแห่งทาน อันผู้ยากจนนั้นให้แล้ว.
เมื่อพระตถาคต ทรงทำอยู่ซึ่งทานอันหาค่ามิได้อย่างนี้แล้ว เทวดาผู้ยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังมหาทานอย่างนี้ให้เป็นไปด้วยคาถาบาทหนึ่ง ดุจเอาวัตถุอันประกอบไปด้วยรัตนะตั้งร้อยใส่เข้าไปในนรกซัดไปซึ่งทานอันมากอย่างนี้ว่า มีประมาณนิดหน่อยอย่างนี้ ดุจประหารอยู่ซึ่งมณฑลแห่งพระจันทร์ จึงกล่าวคาถาว่า
การบูชาอันไพบูลย์นี้ อันใหญ่โตนี้ ย่อมไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติธรรม เพราะเหตุไร เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของ
(๑) ทานทั้งหมดนี้ หมายเอาทานที่บุรุษแสนหนึ่ง บูชาภิกษุพันหนึ่งด้วย.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 170
บุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกน แปลว่า เพราะเหตุไร.
บทว่า มหคฺคโต แปลว่าใหญ่โต นี้เป็นคำไวพจน์ของคำว่า ไพบูลย์.
สองบทว่า สเมน ทินฺนสฺส แปลว่า แห่งทานที่บุคคลให้ด้วยความประพฤติ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกทานแสดงแก่เทวดานั้น จึงตรัสว่า
ททนฺติ เหเก วิสเม นิวิฏฺา ฆตฺวา วธิตฺวา อถ โสจยิตฺวา สา ทกฺขิณา อสฺสุมุขา สทณฺฑา สเมน ทินฺนสฺส น อคฺฆเม.
บุคคลเหล่าหนึ่ง ตั้งอยู่ในกรรม ปราศจากความสงบ โบยเขา ฆ่าเขา ทำให้เขาเศร้าโศกแล้วให้ทาน ทานนั้นจัดว่าทานมีหน้าอันนองด้วยน้ำตา จัดว่าทานเป็นไปกับด้วยอาชญา จึงไม่เท่าถึงส่วนแห่งทานที่ให้ด้วยความสงบ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสเม นิวิฏฺา แปลว่า ตั้งมั่นในกรรมอันปราศจากความสงบ ได้แก่ ตั้งมั่นในกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมอันหาความสงบมิได้.
บทว่า ฆตฺวา แก้เป็น โปเถตฺวา แปลว่า โบยแล้ว.
บทว่า วธิตฺวา แปลว่า ฆ่าแล้ว คือ ทำให้ตาย.
บทว่า อสฺสุมุขา แปลว่า มีหน้านองด้วยน้ำตา.
จริงอยู่ ทานที่ทำให้ผู้อื่นร้องไห้แล้วให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทานมีหน้านองด้วยน้ำตา.
บทว่า สทณฺฑา แปลว่า เป็นไปกับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 171
ด้วยอาชญา. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทักษิณาที่บุคคลคุกคามผู้อื่นแล้วประหารแล้วให้ เรียกว่า ทักษิณาเป็นไปกับด้วยอาชญา.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้ อย่างนี้ว่า เราไม่อาจเพื่อถือเอามหาทานแล้วทำให้ชื่อว่ามีผลน้อย หรือ ทานอันน้อย ทำให้มีชื่อว่า มีผลมาก เพราะความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แต่มหาทานนี้ ชื่อว่ามีผลน้อยอย่างนี้ เพราะความไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นแก่ตน ทานน้อยนี้ ชื่อว่ามีผลมากอย่างนี้ เพราะความบริสุทธิ์เกิดขึ้นแก่ตน ดังนี้ จึงตรัสคำว่า
โดยนัยอย่างนี้ เมื่อบุรุษแสนหนึ่งบูชาภิกษุพันหนึ่ง หรือบริจาคทรัพย์พันกหาปณะ การบูชาของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่ถึงส่วนร้อยของบุคคลอย่างนั้นดังนี้.
จบอรรถกถามัจฉริสูตรที่ ๒