[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 226
๓. มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร
สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูที่พระวิหารตโปทาราม เขตพระนครราชคฤห ครั้งนั้นแล ทานพระสมิทธิลุกขึ้นในราตรีตอนใกลรุง เขาไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานรางกาย ครั้นเสร็จเรียบรอยแลว จึงกลับขึ้นมานุงสบงผืนเดียว ยืนผึ่งตัวใหแหงอยู ฉะนั้น ลวงปฐมยามไปแลว มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงาม สองสระตโปทะใหสวางทั่ว เขาไปหาทานพระสมิทธิ ยังที่ที่ยืนอยูนั้น แลวไดยืน ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง
[๕๔๙] เทวดานั้น พอยืนเรียบรอยแลว จึงกลาวกะทานพระสมิทธิ ดังนี้วา ดูกอนภิกษุ ทานทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ไดไหม
ทานพระสมิทธิกลาววา ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทาน ทรงจําไดหรือ
เท. ดูกอนภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได และทานทรงจําคาถา แสดงราตรีหนึ่งเจริญไดไหม.
ส. ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทานทรงจําไดหรือ.
เท. ดูกอนภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได ขอทานจงเลาเรียน และ ทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังค ของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบดวยประโยชนเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 227
เทวดานั้น กลาวดังนี้แลว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง
[๕๕๐] ครั้งนั้นแล ทานพระสมิทธิ พอลวงราตรีนั้นไปแลว จึง เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจายังที่ประทับ ครั้นแลวจึงถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา นั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่งเรียบรอยแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาดังนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ เมื่อคืนนี้ตอนใกลรุง ขาพระองค ลุกขึ้นเขาไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานรางกาย ครั้นเสร็จเรียบรอยแลว จึง กลับมานุงแตสบงผืนเดียวยืนผึ่งตัวใหแหงอยู. ขณะนั้นลวงปฐมยามไปแลว เทวดาองคหนึ่ง มีรัศมีงามสองสระตโปทะใหสวางทั่ว เขาไปหาขาพระองคยัง ที่ที่ยืนอยูนั้น แลวยืน ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอยืนเรียบรอยแลว ไดกลาว กะขาพระองคดังนี้วา ดูกอนภิกษุ ทานทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมี ราตรีหนึ่งเจริญไดไหม.
ขาแตพระองคผูเจริญ เมื่อเทวดานั้นกลาวแลวอยางนี้ ขาพระองคไดกลาวกะเทวดานั้นดังนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ทานทรงจําไดหรือ. เทวดานั้นกลาววา ดูกอนภิกษุแมขาพเจาก็ทรงจําไมได และทานทรงจําคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญไดไหม. ขาพระองคตอบวา ดูกอน ทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทานทรงจําไดหรือ. เทวดานั้นกลาววา ดูกอน ภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได ขอทานจงเลาเรียน และทรงจําอุเทศและ วิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมี ราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบดวยประโยชน เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย. เทวดานั้นกลาวดังนี้แลว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง. ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจาไดโปรดแสดงอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่ง เจริญ แกขาพระองคเถิด.
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 228
พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนภิกษุ ถาเชนนั้น เธอจงพึง จงใส ใจใหดี เราจักกลาวตอไป. ทานพระสมิทธิทูลรับพระผูมีพระภาคเจาวา ชอบ แลว พระพุทธเจาขา.
[๕๕๑] พระผูมีพระภาคเจาจึงไดตรัสดังนี้วา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นเปนอันละไปแลว และ สิ่งที่ยังไมมาถึง ก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคลใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไมคลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได บุคคล นั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนื่อง ๆ ใหปรุโปรง เถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวา ความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญนั้น ยอมไมมีแกเราทั้งหลายพระมุนีผูสงบยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ.
พระผูมีพระภาคเจาตรัสคาถาประพันธดังนี้ ครั้นแลวพระสุคตจึงทรง ลุกจากอาสนะ เสด็จเขาไปยังพระวิหาร
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 229
พวกภิกษุปรึกษากันถึงอุเทศ
[๕๕๒] ครั้นพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลวไมนาน ภิกษุเหลา นั้นจึงไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา
บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นก็เปนอันละไปแลวและสิ่ง ที่ยังไมมาถึง ก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคล ใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไม คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆได บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ใหปรุโปรงเถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร เลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความ ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญนั้น ยอม ไมมีแกเราทั้งหลาย พระมุนีผูสงบ ยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ. ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกออกจาก อาสนะเสด็จเขาไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่ พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได. ครั้งนั้นแล ภิกษุเหลานั้น ไดมีความคิดอยางนี้วาทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุ
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 230
ผูรวมประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทานพระมหากัจจานะ พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดง โดยยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยัง ที่อยูแลว พึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด.
[๕๕๓] ตอนั้นแล ภิกษุเหลานั้นจึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะ ยังที่อยู แลวไดทักทายปราศรัยกับทานพระมหากัจจานะ ครั้นผานคําทักทาย ปราศรัยพอใหระลึกถึงกันไปแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่งเรียบ รอยแลวไดกลาวกะทานพระมหากัจจานะดังนี้วา ดูกอนทานกัจจานะ พระผูมี พระเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกกระผมวา
บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหาร ดูกอนทานกัจจานะ ครั้นพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลว ไมนาน พวกกระผมนั้นไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้ง หลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ดูกอนทานกัจจานะ พวกกระผมนั้นไดมีความ
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 231
คิดอยางนี้วา ทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุผูรวม ประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทานพระมหากัจจานะ พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดย ยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยังที่อยู แลวพึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด ขอทานพระมหากัจจานะโปรดจําแนกเนื้อความเถิด. อุปมาดวยผูตองการไมแกน
[๕๕๔] ทานพระมหากัจจานะกลาววา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผูตองการแกนไม แสวงหาแกนไม เที่ยวเสาะหาแกนไม พึงสําคัญแกนของตนไมใหญที่มีแกนตั้งอยูวา ควรหาไดที่กิ่งและใบ ละเลย รากและลําตนเสีย ฉันใด ขออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาประทับอยู พรอมหนาทานผูมีอายุทั้งหลาย พวกทานพากันสําคัญเนื้อความนั้นวา พึงสอบ ถามเราได ลวงเลยพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นเสีย ดูกอนทานผูมีอายุทั้ง หลาย พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ทรงรูธรรมที่ควรรู. ทรงเห็นธรรม ที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัส บอก นําออก ซึ่งประโยชน ประทานอมตธรรม ทรงเปนเจาของธรรม ทรงดําเนินตามนั้น และก็เปนกาลสมควรแกพระองคแลวที่ทานทั้งหลายจะพึงสอบถามเนื้อความนี้ กะพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกเราอยางใด พวก ทานพึงทรงจําไวอยางนั้นเถิด.
ภิกษุเหลานั้นกลาววา ดูกอนทานกัจจานะ แทจริง พระผูมีพระภาคเจายอมทรงรูธรรมที่ควรรู ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัสบอก นําออกซึ่งประโยชน ประทาน
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 232
อมตธรรม ทรงเปนเจาของธรรม ทรงดําเนินตามนั้น และก็เปนกาลสมควร แกพระองคแลวที่พวกกระผมจะพึงสอบถามเนื้อความนี้กะพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกพวกกระผมอยางใด พวกกระผมพึงทรงจํา ไดอยางนั้น แตวาทานพระมหากัจจานะ อันพระศาสดาและพระภิกษุผูรวม ประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว และทานพอจะจํา แนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ขอทานพระมหากัจจานะอยาทําความหนักใจ โปรดจําแนกเนื้อความเถิด. กัจจานะ. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ถาเชนนั้น พวกทานจงฟง จง ใสใจใหดีขาพเจาจักกลาวตอไป. ภิกษุเหลานั้นรับคําทานพระมหากัจจานะวา ชอบแลวทานผูมีอายุ.
[๕๕๕] ทานพระมหากัจจานะจึงไดกลาวดังนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุ ทั้งหลาย ขอที่พระผูมีพระภาคเจาทรงอุเทศโดยยอแกเราทั้งหลายวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหารนี้แล ขาพเจาทราบเนื้อความโดยพิสดารอยางนี้
[๕๕๖] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลายก็บุคคลยอมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว อยางไร คือ มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปวา จักษุของเรา ไดเปนดังนี้ รูปไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึกเนื่องดวย ฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวาคํานึงถึง สิ่งที่ลวงแลว.
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 233
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียงวา โสตของเราไดเปน ดังนี้ เสียงไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่นวา ฆานะของเราได เปนดังนี้ กลิ่นไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรสวา ชิวหาของเราได เปนดังนี้ รสไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะวา กายของเรา ไดเปนดังนี้ โผฏฐัพพะไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณวา มโนของ เราไดเปนดังนี้ ธรรมารมณไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึก เนื่องดวยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินมโมและธรรมารมณนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวา คํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา คํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ผูไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว
[๕๕๗] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวง แลวอยางไร คือ มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปวา จักษุ ของเราไดเปนดังนี้ รูปไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึกไม เนื่องดวยฉันทราคะจึงไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึง ชื่อวา ไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียงวา โสตของเราได เปนดังนี้ เสียงไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว...
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 234
มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่นวา ฆานะของเรา ไดเปนดังนี้ กลิ่นไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรสวา ชิวหาของเรา ไดเปนดังนี้ รสไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะวา กายของ เราไดเปนดังนี้ โผฏฐัพพะไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและธรรมารมณวา มโนของ เราไดเปนดังนี้ ธรรมารมณไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึก ไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึงไมเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไม เพลิดเพลิน จึงชื่อวาไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา ไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว.
[๕๕๘] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลยอมมุงหวังสิ่งที่ยังไมมา ถึงอยางไร คือ บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอจักษุของเราพึง เปนดังนี้ ขอรูปพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความตั้งใจเปนปจจัย จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวามุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง. บุคคลทั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอโสตของเราพึงเปนดังนี้ ขอเสียงพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอฆานะของเราพึงเปนดังนี้ ขอกลิ่นพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอชิวหาของเราพึงเปนดังนี้ ขอรสพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอกายของเราพึงเปนดังนี้ ขอโผฏฐัพพะพึงเปนดังนี้ในกาลอนาคต...
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 235
บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอมโนของเราพึงเปนดังนี้ ขอธรรมารมณพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความตั้งใจเปนปจจัย จึง เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวามุงหวังสิ่งที่ยังไมมา ถึง. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา มุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง.
[๕๕๙] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไมมุงหวังสิ่งที่ยังไม มาถึงอยางไร คือ บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอจักษุของเรา พึงเปนดังนี้ ขอรูปพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความไมตั้งใจเปนปจจัย จึงไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวา ไมมุงหวังสิ่งที่ ยังไมมาถึง.
บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอโสตของเราพึงเปนดังนี้ ขอเลียงพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอฆานะของเราพึงเปน ดังนี้ ขอกลิ่นพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต. บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอชิวหาของเราพึงเปน ดังนี้ ขอรสพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอกายของเราพึงเปนดังนี้ ขอโผฏฐัพพะพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต ... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอมโนของเราพึงเปน ดังนี้ ขอธรรมารมณพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความไมจงใจเปน ปจจัย จึงไมเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวา ไมมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวาไม มุงหวังสิ่งที่ยังมาไมถึง.
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 236
ผูไมงอนแงนในธรรมปจจุบัน
[๕๖๐] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลยอมงอนแงนในธรรม ปจจุบันอยางไรคือ มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อยาง ที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแลเพราะความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะจึงเพลิดเพลิน จักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวา งอนแงนในธรรมปจจุบัน.
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียง.. .
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรส. . .
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ. . .
มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณทั้ง ๒ อยางที่ เปนปจจุบันดวยกันแล เพราะความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลิน มโนและธรรมารมณนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวางอนแงนในธรรมปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แลชื่อวา งอนแงนในธรรมปจจุบัน.
[๕๖๑] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลายก็บุคคลยอมไมงอนแงนในธรรม. ปจจุบันอยางไร คือ มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อยางที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแล เพราะความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึง ไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลินจึงชื่อวาไมงอนแงนในธรรม ปจจุบัน.
มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียง...
มีความรสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...
มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรส...
มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 237
มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในมโนแลธรรมารมณทั้ง ๒ อยาง ที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแล เพราะความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึงไม เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวาไมงอนแงน ในธรรมปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา ไมงอนแงน ในธรรมปจจุบัน.
[๕๖๒] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ขอที่พระผูมีพระภาคเจาทรง แสดงอุเทศ โดยยอแกเราทั้งหลายวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคล... นั้นแลวา ผูมีราตีหนึ่งเจริญ ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหารนี้แล ขาพเจาทราบเนื้อความโดยพิสดารอยางนี้ ก็แหละทาน ทั้งหลายหวังอยู พึงเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาแลวทูลสอบถามเนื้อความ นั้นเถิด พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกทานทั้งหลายอยางใด พวกทาน พึงทรงจําเนื้อความนั้นไวอยางนั้น.
[๕๖๓] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหลานั้น ยินดีอนุโมทนาภาษิตของทาน พระมหากัจจานะแลวลุกจากอาสนะ เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจายังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจาแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่ง เรียบรอยแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาดังนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ ตามที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกขาพระองควา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคล... นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 238
ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหาร พอพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลวไมนาน พวกขา พระองคนั้น ไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา
บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นก็เปนอันละไปแลว และ สิ่งที่ยังมีมาถึงก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคล ใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไม คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ใหปรุโปรงเถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละใครเลา จะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความ ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญ นั้นยอม ไมมีแกเราทั้งหลาย พระมุนีผูสงบ ยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลาง- คืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาค เจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ขาแตพระองคผูเจริญ พวกขาพระองคนั้น ไดมีความคิดอยางนี้วา ทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวก
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 239
ภิกษุรวมประพฤติพรหมจรรยผูอันวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทาน พระกัจจานะนี้พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดง โดยยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยัง ที่อยู แลวพึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด ลําดับนั้นแล พวกขาพระองคจึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยังที่อยู แลวสอบถามเนื้อความ นั้นกะทาน ขาแตพระองคผูเจริญ ทานพระมหากัจจานะ จําแนกเนื้อความแก พวกขาพระองคนั้นแลวโดยอาการดังนี้ โดยบทดังนี้ โดยพยัญชนะดังนี้.
[๕๗๔] พระผูมีพระภาคเจาตรัสวาดูกอนภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะ เปนบัณฑิต มีปญญามาก แมหากพวกเธอสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็ จะพยากรเนื้อความนั้นอยางเดียวกับที่มหากัจจานะพยากรณแลวเหมือนกัน ก็ แหละเนื้อความของอุเทศนั้นเปนดังนี้แล พวกเธอจงทรงจําเนื้อความนั้นไว อยางนั้นเถิด.
พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระภาษิตนี้แลว ภิกษุเหลานั้นตางชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผูมีพระภาคเจาแล.
จบ มหากัจจนภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๓
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 240
อรรถกถามหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร
มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตรเริ่มตนวา ขาพเจาไดสดับ มาอยางนี้:-
บรรดาบทเหลานั้น บทวา ตโปทาราเม ความวา ในอารามที่มีชื่อ อยางนี้ ดวยอํานาจแหงสระชื่อ ตโปทะ คือ มีน้ํารอน ไดยินวา ภายใต เวภารบรรพตมีภพนาคประมาณหารอยโยชนของนาคที่อยูในแผนดินทั้งหลาย เปนเชนกับเทวโลก ถึงพรอมดวยพื้นอันสําเร็จดวยแกวมณี และสวนอันเปนที่รื่นรมยทั้งหลาย ในสถานที่เปนที่เลนของนาคทั้งหลายในภพนาคนั้น มีสระน้ําใหแมน้ําชื่อ ตโปทา มีน้ํารอนเดือดพลานไหลจากสระนั้น ก็เพราะเหตุไรแมน้ํานั้นจึงเปนเชนนี้. ไดยินวาโลกแหงเปรตใหญลอมกรุงราชคฤห แมน้ําตโปทา นี้มาในระหวางมหาโลหกุมภีนรก ทั้งสองในมหาเปรตโลกนั้น เพราะฉะนั้น แมน้ําตโปทานั้น จึงเดือดพลานไหลมา สมจริงดังพระดํารัส ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดังนี้
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย แมน้ําตโปทานี้ ยอมไหลโดยประการที่สระนั้น มีน้ําใสสะอาด เย็น ขาว มีทาดี รื่นรมย มีปลา และเตามาก และมีปทุมประมาณวงลอ บานสะพรั่ง อนึ่ง แมน้ําตโปทานี้ไหลผานระหวางมหานรกทั้งสอง เพราะเหตุนั้น แมน้ําตโปทานี้จึงเดือดพลานไหลมา ดังนี้ ก็สระน้ําใหญ เกิดขางหนาพระอารามนี้ ดวยอํานาจแหงชื่อ สระน้ํา ใหญนั้น วิหารนี้ จึงเรียกวา ตโปทาราม
บทวา สมิทฺธิ ความวา นัยวา อัตภาพของพระเถระนั้น ละเอียด มีรูปสวย นาเลื่อมใส เพราะฉะนั้น จึงถึง อันนับวา สมิทธิ.
บทวา อาทิพฺรหฺมจริยโก ไดแก เปนเบื้องตนแหงมรรค พรหมจรรย คือเปนขอปฏิบัติ ในสวนเบื้องตน.
บทวา อท ว วา สุคโต อฏายาสนา เปนตน พึงใหพิสดารโดยนัยที่กลาวแลวในมธุบิณฑิกสูตร
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 241
บทวา อิติ เม จกฺขุ ความวา นัยวา พระผูมีพระภาคเจาทรงตั้งมาติกา ดวยอํานาจแหงอายตนะ ๑๒ ในสูตรนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงกระทํามาติกา และ วิภังคดวยอํานาจแหงขันธ ๕ ในสามสูตรนี้ คือ ในหนกอนสองสูตร และ ในขางหนาหนึ่งสูตรซึ่งเปนสูตรที่สี่ แตในสูตรนี้ ฝายพระเถระไดนัยวา มาติกาว ปตา จึงกลาวอยางนี้ เพื่อจําแนกอายตนะสิบสอง ก็พระเถระ เมื่อไดนัยนี้ไดทําภาระหนัก คือ แสดงรอยเทาในที่ไมมีรอยเทา การทํารอย เทาในอากาศดวยเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถึงพระสูตรนี้ นั้นเทียว จึงทรงตั้งพระเถระนั้น ไวในตําแหนงเอตทัคคะวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะเปนผูเลิศแหงภิกษุทั้งหลาย ผูเปนสาวกของเราที่จําแนกเนื้อความแหงภาษิตโดยยอใหพิสดารได
ก็ในสูตรนี้ บทวา จกฺขุ ไดแก จักษุประสาท
บทวา รูปา ไดแก รูปทั้งหลายอันมีสมุฏฐานสี่ พึงทราบแมอายตนะที่เหลือ โดยนัยนี้
บทวา วิฺาณ ไดแกวิญญาณอันเที่ยง
บทวา ตทภินนฺทติ ความวา เพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น ดวยอํานาจแหงตัณหาและทิฏฐิ.
บทวา อนฺวาคเมติ ความวาไปตามดวยตัณหาและทิฏฐิทั้งหลาย
ก็ในบทวา อิติ เม มโน อโหสิ อิติ ธมฺมา นั้นบทวา มโน ไดแก ภวังคจิต
บทวา ธมฺมา ไดแก ธัมมารมณอันเปนไปในภูมิสาม
บทวา ปณิทหติ คือตั้งไวดวยอํานาจแหงความ ปรารถนา
บทวา ปณิธานปจฺจยา ไดแก เพราะตั้งความปรารถนาไวคือ เพราะเหตุ
บทที่เหลือในที่ทั้งปวง งายทั้งนั้นแล
จบอรรถกถามหากัจจานภัทเทกรัตตสูตรที่ ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น