จิตเป็นเพียงการทำงานของสารเคมีในสมอง
เมื่อมีความผิดปกติของสารเคมีในสมองการทำงานของจิตก็จะผิดปกติ แต่เมื่อปรับสภาพสารเคมีจิตก็จะกลับมาเหมือนเดิม เมื่อร่างกายยังมีชีวิตจิตก็ยังอยู่ แต่เมื่อตาย จิตก็หมดไปตาม ตามหลังจิตเกิดขึ้นได้เพราะมีร่างกายใช่หรือไม่
นักจิตวิทยากล่าว แล้วก็ต้องถูกลบล้างคำกล่าว เมื่อมีการค้นพบความจริงอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีเหตุผลเชิงประจักษ์มากกว่ามาแทนที่ เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างนี้ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงแสดงพระธรรมจากการประจักษ์แจ้งในความจริงของสรรพสิ่ง ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เพราะคงความเป็นจริงของสิ่งนั้นเพราะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสภาพของสิ่งอื่น ทนทานต่อการเข้าไปรู้ ไม่ขึ้นกับกาลสากล และสามารถพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยปัญญาของตนเองตามลำดับขั้น คือ เป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วคิดใคร่ครวญ พิจารณาหาเหตุผลตามก่อน แล้วเราควรจะเลือกใครเป็นครูกันดี?
รูปเกิดจากกรรมก็มี เกิดจากจิตก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากอาหารก็มี สมองเป็นรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม จิตเป็นสภาพรู้ ซึ่งต่างจากรูปธรรมที่ไม่รู้ค่ะ
ขอเชิญคลิก สมองกับจิต
การที่จิตรับรู้ได้ สัมผัสได้ ก็ต้องมีสมองและระบบประสาทเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้คนเราก็มีสภาพไม่ต่างจากต้นไม้เหมือนเจ้าชายนิทรา จิตเกิดขึ้นต้องอาศัยกายมิใช่หรือ
จิตเป็นสภาพรู้เป็นนามธรรม จิตเห็นเกิดที่ตา จิตได้ยินเกิดที่หู จิตได้กลิ่นเกิดที่จมูกจิตลิ้มรสเกิดที่ลิ้น จิตรู้กระทบสัมผัสเกิดที่กาย และจิตคิดนึกเกิดที่ใจ จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์เพียงขณะละหนึ่งดวงแล้วดับไปทันที จิตแต่ละดวงรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ เพียงอารมณ์เดียว และเกิดดับสลับกันทางทวารต่างๆ อย่างรวดเร็ว การรู้อารมณ์ที่สลับกันไปมาระหว่างทวารนี้ เป็นปัจจัยแก่การคิดนึกทางใจ เช่นเมื่อได้เห็นรูปสีนี้ ได้กลิ่นนี้ มีสัมผัสเช่นนี้ และลิ้มรสนี้ ก็คิดนึกเป็นบัญญัติ (เรื่องราว) ว่ากินมะม่วงสุกเป็นต้น สมองและระบบประสาทเป็นบัญญัติเรียกกลุ่มของรูปซึ่งไม่รู้อะไร เป็นกลุ่มรูปของกาย ซึ่งจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางกายสลับกับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อขาดการศึกษาที่ถูกต้อง จึงมีการสรุปว่าจิตคิดนึกที่สมอง การศึกษาพระธรรมตามที่ทรงแสดงต้องอาศัยเวลา เนื่องจากความรู้ ความคิด ความเชื่อที่เรามีอยู่เกือบทั้งหมด เป็นการเรียนรู้ตามนักคิดนักวิชาการทางโลก ซึ่งสอนไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ แต่แม้ศึกษาแล้วไม่ว่าสาขาใดก็ยังไม่มีข้อสรุปเลย ยังมีแนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนในสิ่งที่ทรง"ประจักษ์แจ้ง" ซึ่งละเอียดลึกซึ้งกว่าวิชาการไหนๆ และนำไปสู่การดับทุกข์ ดังนั้นจึงควรค่าแก่การสละเวลาในชีวิตอันสั้นนี้มาศึกษาอย่างยิ่ง
คนต่างจากต้นไม้แน่นอน เพราะที่เรียกกันว่า "คน" เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่า"เจ้าชายนิทรา" มีชีวิต เพราะยังมีจิต ยังหายใจ ไม่เหมือนต้นไม้แน่นอนแต่เรื่องที่เกินวิสัยที่จะรู้คือ...จิตของสิ่งที่เรียกว่า "เจ้าชายนิทรา"นั้นอาจกำลังคิด (ฝัน) หรือรู้สึกอย่างอื่น อันนี้รู้ไม่ได้ แต่ยังมีชีวิตแน่
นักเรียนก็กล่าวในเรื่องที่นักเรียนรู้นักออกแบบก็กล่าวเรื่องที่นักออกแบบรู้ เป็นต้น และนัก...ทุกคน ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้หากยังไม่เข้าถึงสัจจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อความพ้นทุกข์พ้นจากการเป็นนัก ..ทั้งปวง
ที่นี่น่ารื่นรมย์
ความคิดเห็นที่ 1 โดย : ajarnkruo
นักจิตวิทยากล่าว แล้วก็ต้องถูกลบล้างคำกล่าว เมื่อมีการค้นพบความจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลเชิงประจักษ์มากกว่ามาแทนที่ เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างนี้ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ แล้วเราควรจะเลือกใครเป็นครูกันดี?
ความคิดเห็นที่ 2 โดย : wannee.s
จิตเป็นสภาพรู้ ซึ่งต่างจากรูปธรรมที่ไม่รู้ค่ะ ขอเชิญคลิก สมองกับจิต
ความคิดเห็นที่ 4 โดย : K
ความรู้ ความคิด ความเชื่อที่เรามีอยู่เกือบทั้งหมด เป็นการเรียนรู้ตามนักคิดนักวิชาการทางโลก ซึ่งสอนไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ แต่แม้ศึกษาแล้วไม่ว่าสาขาใดก็ยังไม่มีข้อสรุปเลย ยังมีแนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนในสิ่งที่ทรง"ประจักษ์แจ้ง" ซึ่งละเอียดลึกซึ้งกว่าวิชาการไหนๆ และนำไปสู่การดับทุกข์ ดังนึ้นจึงควรค่าแก่การสละเวลาในชีวิตอันสั้นนี้มาศึกษาอย่างยิ่ง
ความคิดเห็นที่ 6 โดย : prissna
และนัก...ทุกคน ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ หากยังไม่เข้าถึงสัจจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อความพ้นทุกข์ พ้นจากการเป็นนัก....ทั้งปวง
ที่นี่น่ารื่นรมย์ .............. สาธุ
พระสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไปแล้ว พวกเราพึงลุกขึ้น พึงก้าวหน้าในพระสัทธรรม พึงกระทำความเพียรในพระศาสนานี้ โอกาสอย่าได้ล่วงเลยพวกเราไปเปล่าเลย
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน
ถ้าจิตไม่อาศัยการมีของสมอง ทำไมเวลาสมองมีปัญหา จิตจึงไม่อาจทำงานได้
คุณ K กำลังปฏิเสธความจริงทางด้านชีววิทยาพื้นๆ นะครับ
ถ้าคุณไม่เชื่อว่าจิตเกิดจากการทำงานในสมอง คุณลองทำให้สมองมีปัญหาดู แล้วคุณจะเห็นว่า จิตคุณก็จะไม่คิดนึกแบบที่เป็นอยู่อีก ผมเชื่อว่าจิตจะเกิดขึ้นเป็นตัวของมันเองไม่ได้ต้องอาศัยการมีชีวิตอยู่ของร่างกายจะเห็นว่าคนตายไม่อาจคิดนีก และสัมผัสได้อีก หรือจะลองดู
ขอเรียนคุณผู้แสวงหาครับว่าผมไม่ปฏิเสธความรู้ในทางโลกครับ และในการเลี้ยงชีพ
ผมก็ยังคงอาศัยความรู้ที่เรียนมาในการหาทรัพย์ ความแตกต่างหลังจากที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็คือ ทำให้รู้ว่าความรู้ทางโลกนั้นเป็นความจริงในระดับหนึ่งที่เราเข้าใจได้ตรงกัน ใช้พูดคุยสื่อสารกันได้ ใช้อธิบายอะไรในชีวิตได้หลายๆ อย่าง...ในระดับหนึ่ง แต่พระธรรมเป็นคำสอนที่เป็นความจริงอันประเสริฐ แม้จะเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ก็ควรค่าที่จะศึกษาอย่างยิ่ง เพราะทำให้คลายและดับทุกข์ได้ครับ หากมีความเข้าใจในพระธรรมแล้ว เราจะได้รับคำอธิบายในหลายประเด็นที่ไม่ เคยคิดว่าจะมีใครอธิบายได้มาก่อน ผู้ที่ศึกษาและแสดงธรรม จะใช้ความระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ ในทุกคำพูดทุกประโยค ทุกคำ ทุกพยางค์ ทุกอักษร เพราะหากไม่ระมัดระวังก็จะทำให้เข้าใจผิดในเรื่องที่โดยเนื้อหาก็ยากอยู่แล้วครับ
หากคุณผู้แสวงหาลองอ่านความเห็นที่แสดงไว้อีกครั้ง จะเห็นว่าผมไม่ได้ปฏิเสธว่าการถูกทำลายสมองหรือระบบประสาทจะไม่ส่งผลต่อการคิดครับ แต่จิตนึกคิดนั้นไม่ได้เกิดที่สมอง แต่เกิดที่หทยวัตถุ เพราะฉะนั้นคงขอไม่ "ลองดู" แน่ครับ :) การได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ขัดกับความรู้ ความคิด ความเชื่อ ที่มีอยู่นั้น ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความขัดใจได้ แต่ขออย่าให้ความรู้สึกเหล่านั้นปิดโอกาสในการเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เลยนะครับ
จิตเกิดลอยๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยปัจัยอื่นๆ มากมายเช่นรูป (สมอง) ก็เป็นปัจจัยหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยเมื่อรูป (สมอง) มีปัญหาย่อมส่งผลกระทบ ทั้งต่อจิต เจตสิก และรูปตัวอย่างเช่น คนป่วยโรคประสาทในกรณีที่มีเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อในสมอง (รูป)
เมื่อใดที่มีปัจจัย เช่น ความเครียด (เจตสิก) ความเสียใจอย่างที่สุด (เจตสิก) จากการสูญเสียบุคคลที่รัก เป็นต้นจากคนปกติกลายเป็นคนซึมเศร้า (เจตสิก) พฤติกรรม (จิตและเจตสิก) เปลี่ยนไปเหมือนคนละคนแต่เมื่อได้ยา (รูป) ที่ถูกกับโรค (เหตุ ปัจจัย) ก็กลับสู่ภาวะปกติได้บางคน แม้มีความผิดปกติในสมองเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีเหตุปัจจัยเช่นความเครียด และไม่มีเหตุอื่นเช่นความเสียใจ เป็นต้นก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องทานยาตลอดชีวิตก็มี ถูกต้องที่ว่าร่างกาย (รูป) ต้องมี จิต ประกอบอยู่ถ้าไม่มี จิต ประกอบอยู่ ก็คือคนตาย (รูป)
สรุปว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีทั้งหมดแยกจนถึงที่สุดแล้ว มีแต่นามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นแต่การที่จะสื่อสารกันให้เข้าใจต้องอาศัยบัญญัติธรรม (ชื่อที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ที่มีจริงและไม่มีจริง) ปรมัตถธรรม (สิ่งที่มีจริงๆ แม้ไม่ใช้ชื่ออะไรก็รู้ถึงภาพนั้นๆ ได้) เช่นประโยคว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ตน ไม่มี แต่ใช้แทน จิต เจตสิก รูป หมายความว่าการงานใดจะลุล่วงได้ นอกจากอาศัยกัลยาณมิตรแล้วจิต เจตสิก รูป (ที่ยึดถือว่าเป็นของตน) นั่นเองที่ทำกิจ
เมื่อเหตุสมควรแก่ผล (เช่นไม่คบคนพาล คบบัณฑิต ขวนขวายในกุศล) เหตุปัจจัยพร้อมเมื่อไร ก็ประสบความสำเร็จได้ นามธรรม คือสภาพธรรมที่รู้คือ จิต เจตสิก และนิพพานรูปธรรม คือสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยคือ รูป (เช่นสมอง เป็นต้น)
สรุปปรมัตถธรรมมี ๔ คือจิต เจตสิก รูป นิพพานหรือนามธรรม และ รูปธรรม.
ขออนุโมทนาค่ะ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 8 โดย ผู้แสวงหา
ถ้าจิตไม่อาศัยการมีของสมอง ทำไมเวลาสมองมีปัญหา จิตจึงไม่อาจทำงานได้
คุณ K กำลังปฏิเสธความจริงทางด้านชีววิทยาพื้นๆ นะครับ
ถ้าคุณไม่เชื่อว่าจิตเกิดจากการทำงานในสมอง คุณลองทำให้สมองมีปัญหาดู แล้วคุณจะเห็นว่า จิตคุณก็จะไม่คิดนึกแบบที่เป็นอยู่อีก ผมเชื่อว่าจิตจะเกิดขึ้นเป็นตัวของมันเองไม่ได้ต้องอาศัยการมีชีวิตอยู่ของร่างกายจะเห็นว่าคนตายไม่อาจคิดนีก และสัมผัสได้อีก หรือจะลองดู
ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางชีวะเท่าไหร่น่ะครับ แต่เข้าใจตามหลักพระพุทธศาสนาว่าภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตต้องอาศัยรูปเกิด และจิตที่คิดไม่ได้เกิดที่ก้อนสมอง แต่เกิดที่หทยวัตถุ ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ปฎิสนธิจิตเกิด ในมนุษภูมิ ขณะนั้นไม่ได้มีสมอง แต่ชวนจิตที่เป็นนิกันตโลภชวนะ ซึ่งเป็นความคิดก็มีเป็นวิถีแรก อันนี้แสดงให้เห็นว่าความคิดไม่ได้อาศัยสมองเกิด แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเติบโตขึ้น อวัยวะทุกส่วนอันประกอบด้วยมหาภูตรูปก็ต้อง ทำงานร่วมกัน หากส่วนใดส่วนหนึ่งผิดปรกติเช่น คนที่เป็นอัมพาตไม่รู้สึกที่ขา จะหยิก จะข่วนก็ไม่รู้สึก นั่นก็เพราะว่ากายปสาทซึ่งเป็นที่เกิดของจิตรู้กระทบสัมผัสของเขานั้นไม่เกิด กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันคือคุณบอกว่าถ้าสมองผิดปรกติ ทำให้สารเคมีอะไรนั้นผิดปรกติก็ตาม เข้าใจว่าอาจส่งผลให้แม้หทัยวัตถุก็ผิดปรกติ เมื่อที่อาศัยเกิดของจิตผิดปรกติ จิตที่เกิดจึงผิดปรกติตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นจิตก็ยังเกิดขึ้นได้ เพราะที่อาศัยเกิดยังมี ไม่เหมือนกายปสาทของคนที่เป็นอัมพาตซึ่งไม่เกิด ผมเองไม่ได้มีความรู้ทางชีวะน่ะครับ ไม่ยืนยันว่าอันนี้จะถูกหรือไม่ ลองพิจารณาแล้วกันครับ
ขออนุโมทนาค่ะ