นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๘
ชราสูตร
...จาก...
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๗๓๘
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๗๓๘
ชราสูตรที่ ๖
(ว่าด้วยชีวิตนี้น้อยนัก)
ข้อความจากอรรถกถา (นำมาเพียงบางส่วน)
ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนิดเดียว เพราะตั้งอยู่ประเดี๋ยวเดียวเพราะมีกิจน้อย ดังนี้.
บทว่า โอรํ วสฺสตาปิ มิยฺยติ สัตว์ย่อมตายแม้ภายใน ๑๐๐ ปี คือตายแม้ในเวลาที่ยังเป็นกลละ (รูปที่เกิดเป็นครั้งแรกในขณะเริ่มตั้งครรภ์) ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี.
บทว่า อติจฺจ อยู่เกิน คือ อยู่เกิน ๑๐๐ ปี.
บทว่า ชรสาปิ มิยฺยติ คือ สัตว์นั้นย่อมตายแม้เพราะชรา.
บทว่า มมายิเต คือ เพราะสิ่งที่ตนยึดถือว่าเป็นของเรา.
บทว่า วินาภาวสนฺตเมวิทํ คือ สิ่งนี้มีความพลัดพรากจากกันมีอยู่ ท่านอธิบายว่าจะไม่มีการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้.
บทว่า มามโก ผู้นับถือพระพุทธเจ้า ว่าเป็นของเรา คือนับถือว่าอุบาสกหรือภิกษุของเรา หรือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นต้น ว่าเป็นของเรา.
บทว่า สงฺคตํ อารมณ์อันประจวบคืออารมณ์ที่มาถึงหรือที่เคยเห็น.
บทว่า ปิยายิตํ บุคคลที่ตนรัก คือบุคคลที่ตนทำให้เป็นที่รัก.
บทว่า นานเมวาวสิสฺสติ อกฺเขยฺยํ ชื่อเท่านั้นที่ควรกล่าวถึงยังเหลืออยู่ คือธรรมชาติมีรูปเป็นต้นทั้งหมดละไป ส่วนชื่อเท่านั้นยังเหลืออยู่เพื่อเรียกกันอย่างนี้ว่า พุทฺธรกฺขิโต ธมฺมรกฺขิโต
บทว่า มุนโย มุนีทั้งหลาย ได้แก่พระมุนีผู้เป็นขีณาสพ.
บทว่า เขมทสฺสิโน ได้แก่ผู้เห็นนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาที่ ๗ เพื่อทรงแสดงถึงการปฏิบัติอันสมควรในโลกที่ถูกความตายกำจัดอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิลีนจรสฺส ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้นอยู่ คือของภิกษุผู้ประพฤติทำจิตหลีกเร้นอยู่จากที่นั้นๆ
บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่ กัลยาณปุถุชนหรือพระเสกขะ.
บทว่า สามคฺคิยมาหุ ตสฺส ตํ โย อตฺตนํ ภวเน น ทสฺสเย ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้ที่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่แสดงตนในภพอันต่างด้วยนรกเป็นต้นว่า เป็นการสมควร. อธิบายว่า ยิ่งไปกว่านั้น บัณฑิตนั้นพึงพ้นจากความตาย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระขีณาสพอย่างนี้ ว่า ผู้ที่ไม่แสดงตนในภพ ดังนี้ จึงตรัสคาถา ๓ คาถา ต่อจากนี้เพื่อพรรณนาคุณของพระขีณาสพนั้น.
ในบทเหล่านั้นบทว่า สพฺพตฺถ ในอายตนะทั้งปวง คือ ในอายตนะ ๑๒ ก็ในบทนี้ว่า ยทิทํ สุตํ มุเตสุ วา พึงทราบการเชื่อมความอย่างนี้ว่า มุนีย่อมไม่ติดในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง หรือในอารมณ์ที่ได้ทราบ อย่างนี้.
บทว่า โธโน นหิ เตน มญฺญติ ยทิทํ ทิฏฺฐํ สุตํ มุเตสุ วา พึงทราบการเชื่อมความอย่างนี้เหมือนกันว่า ผู้มีปัญญาย่อมไม่สำคัญด้วยรูปที่ได้เห็น ด้วยเสียงที่ได้ฟัง หรือย่อมไม่สำคัญ ในอารมณ์ที่ได้ทราบ.
บทว่า น หิ โส รชฺชาติ โน วิรชฺชติ ผู้มีปัญญานั้น ย่อมไม่ยินดีย่อมไม่ยินร้าย. ความว่า ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยินดี เหมือนปุถุชนที่เป็นพาล ย่อมไม่ยินร้าย เหมือนกัลยาณปุถุชนและพระเสกขะย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ยินดียินร้าย เพราะสิ้นราคะแล้วนั่นเอง บทที่เหลือในที่ทั้งปวงชัดดีแล้ว.
ในเวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมแล้ว
จบ อรรถกถาชราสูตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ชราสูตร (ว่าด้วยฃีวิตนี้น้อยนัก)
[สรุปที่มาของการทรงแสดงชราสูตร]
เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปถึงเมืองสาเกต พราหมณ์มหาศาล ผู้หนึ่งพอได้เห็นพระองค์ ก็เกิดความรักเพียงดังบุตร ได้เข้าไปสวมกอด พระวรกายของพระองค์โดยรอบ ทั้งข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา พร้อมกับพูดว่า ลูกรัก พ่อเห็นลูกมานานแล้ว ลูกได้จากพ่อไปนานแล้ว [ถ้าหากพราหมณ์ไม่ได้ทำอย่างนี้ ใจก็จะแตกสลาย] พร้อมกับกราบทูลให้ พระองค์เสด็จไปที่เรือนของตนเพื่อที่จะได้ถวายอาหารบิณฑบาต ตนเองก็ เดินล่วงหน้าไปบอกนางพราหมณีผู้เป็นภรรยา นางพราหมณีพอได้เห็น พระองค์แล้ว ก็เกิดอาการเหมือนกับพราหมณ์ [พราหมณ์และนางพราหมณี ทั้งสองนี้ เคยบิดามารดาของพระองค์ ๕๐๐ ชาติ เคยเป็นลุงเป็นป้า ๕๐๐ ชาติ เคยเป็นอาเป็นน้า ๕๐๐ ชาติ] ทั้งสองท่านได้ถวายภัตตาหารแก่พระผู้ มีพระภาคเจ้า เมื่อเสวยเสร็จแล้วพระองค์ก็ทรงแสดงธรรม จนเป็นเหตุให้ ทั้งสองท่านได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน เมื่อพระผู้มี พระภาคเสด็จจากเมืองนี้ไป ทั้งสองท่านได้ฟังธรรมจากภิกษุทั้งหลาย จนได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วดับขันธปรินิพพาน ชาวเมือง ตั้งศพสักการะบูชาไว้ที่ป่าช้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นว่าพราหมณ์และพราหมณี ปรินิพพานแล้ว และทรงเห็นว่าเมื่อพระองค์เสด็จไปที่นั่น มหาชนก็จักได้ฟัง พระธรรมและได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม พระองค์จึงเสด็จออกจากเมืองสาวัตถี ไปที่ป่าช้า ชาวเมืองพอเห็นพระองค์แล้ว ได้กราบทูลถามพระองค์ถึงการบูชา ต่ออริยสาวกที่เป็นคฤหัสถ์ว่าควรจะเป็นอย่างไร พระองค์ทรงแสดงว่า ควรบูชา เหมือนกับการบูชาต่อพระอเสขะ (พระอรหันต์) ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงแสดง
ชราสูตร เมื่อจบพระธรรมเทศนา มีผู้ได้บรรลุธรรมถึง ๘๔,๐๐๐
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ
ชราสูตร
ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร?
ทางเดินของชีวิต
ชีวิตที่ประเสริฐคือการได้เข้าใจธรรม
ชีวิตเนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง
จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย
ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดทั้งนั้น
พักแล้วก็ต้องไปต่อ
ชีวิตนี้ว่าเป็นของน้อย
ที่พักและเสบียงในการเดินทางไกล
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ ยิ่งติดข้องมาก ก็ยิ่งแกะยากฉันใด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงแสดงสัจจะธรรมที่ทรงประจักษ์จริงๆ เพราะพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิ คุณ และพระบริสุทธิคุณโดยแท้ค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ ขออนุโมทนา ฯ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ