[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 166
มหาวรรค
ญาณกถา
๑. สุตมยญาณกถา
อรรถกถา วิสัชนุทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 166
๑. สุตมยญาณกถา
อรรถกถาวิสัชนุทเทส
๑] บัดนี้ ท่านปรารภนิทเทสวารมีอาทิว่า กถํ โสตาวธาเน ปญฺา สุตมเย าณํ - ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ชื่อว่า สุตมยญาณ คืออย่างไร? ดังนี้ ก็เพื่อจะแสดงธรรมทั้งหลายที่รวบรวมไว้ด้วยอุทเทสตามที่ได้ยกขึ้นแสดงแล้วเป็นประเภทๆ ไป.
ในนิทเทสวารนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ว่า โสตาวธาเน ปญฺา, สุตมเย าณํ - ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ชื่อว่า สุตมยญาณ ดังนี้ คำนี้เป็นคำถามเพื่อจะกล่าวแก้ด้วยตนเองว่า สุตมยญาณนั้นเป็นอย่างไร? จริงอยู่ ปุจฉา - คำถามมี ๕ อย่าง คือ
๑. อทิฏฺโชตนาปุจฺฉา - ถามเพื่อจะส่องความที่ยังไม่เห็น
๒. ทิฏฺสํสนฺทนาปุจฺฉา - ถามเพื่อจะเทียบเคียงสิ่งที่เห็นแล้ว
๓. วิมติจฺเฉทนาปุจฺฉา - ถามเพื่อจะตัดความสงสัย
๔. อนุมติปุจฺฉา - ถามเพื่อจะสอบสวนความรู้
๕. กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา - ถามเพื่อจะตอบเอง.
ความต่างกันแห่งปุจฉา ๕ อย่างนั้นมีดังต่อไปนี้
อทิฏฐโชตนาปุจฉา เป็นไฉน (๑) ? คือ บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็น เพื่อจะเปรียบเทียบ เพื่อจะใคร่ครวญ เพื่อจะ
๑. ขุ. มหา. ๒๙/๗๐๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 167
แจ่มแจ้ง เพื่อจะเปิดเผย ซึ่งลักษณะตามปกติอันเป็นนัยอันตนไม่เคยรู้ ยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยเปรียบเทียบ ยังไม่เคยใคร่ครวญ ยังไม่เคยแจ่มแจ้ง ยังไม่เคยเปิดเผย, ปุจฉานี้ ชื่อว่า อทิฏฐโชตนาปุจฉา.
ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา เป็นไฉน (๑) ? คือ บุคคลนั้นย่อมถามปัญหาถึงลักษณะตามปกติที่ตนเคยรู้แล้ว เคยเห็นแล้ว เคยเปรียบเทียบแล้ว เคยใคร่ครวญแล้ว เคยแจ่มแจ้งแล้ว เคยเปิดเผยแล้ว เพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น ปุจฉานี้ ชื่อว่า ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา.
วิมติจเฉทนาปุจฉา เป็นไฉน (๒) ? คือ บุคคลนั้นตามปกติเป็นผู้แล่นไปสู่ความสงสัย เป็นผู้แล่นไปสู่ความเคลือบแคลง เป็นผู้แล่นไปสู่ความเห็นอันเป็นเหมือนทาง ๒ แพร่ง ย่อมถามปัญหาเพื่อตัดความสงสัยว่า อย่างนั้นหรือหนอ? หรือมิใช่อย่างนั้น? อะไรหนอ? อย่างไรหนอแลดังนี้ นี้ชื่อว่า วิมติจเฉทนาปุจฉา.
อนุมติปุจฉา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามปัญหาตามความรู้ของภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญรูปนั้นว่า เที่ยงหรือไม่เที่ยง? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า, ก็ตรัสถามต่อไปว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข? เมื่อ
๑.-๒. ขุ. มหา. ๒๙/๗๐๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 168
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า, ก็ตรัสถามต่อไปอีกว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา, ควรละหรือที่จะยึดถือคือเห็นตามว่า นั่นเป็นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นเป็นอัตตา ตัวตนของเรา? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นไม่สมควรเลยพระเจ้าข้า (๑) ดังนี้ ชื่อว่า อนุมติปุจฉา.
กเถตุกัมยาปุจฉา เป็นไฉน? คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยมีพระประสงค์จะแก้เองว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สติปัฎฐานเหล่านี้มี ๔. สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน (๒) ? ดังนี้ ชื่อว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา. ในบรรดาปุจฉาทั้ง ๕ เหล่านั้น ปุจฉานี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นกเถตุกัมยตาปุจฉาของพระสารีบุตรเถระ.
บัดนี้ ท่านได้กล่าววิสัชนุทเทส - อุทเทสที่ตั้งไว้เพื่อจะแก้ ๑๖ ประการมีอาทิว่า ปัญญาเป็นเครื่องทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ดังนี้ ชื่อว่า สุตมยญาณ ตามกเถตุกัมยตาปุจฉาที่ยกขึ้นตั้งไว้ในเบื้องต้น.
บรรดาคำเหล่านี้ ปาฐเสสะ คือ พระบาลีว่า เทสยนฺตสฺสของผู้แสดงอยู่ ของคำว่า อิเม ธมฺมา อภิญฺเยฺยา - ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ดังนี้หายไป. อธิบายว่า สุตะความรู้ที่ทรงจำธรรม
๑. วิ. มหา ๔/๒๑. ๒. สํ. มหา. ๑๙/๗๗๖.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 169
ที่ได้ฟังแล้ว ชื่อว่า โสตาวธาน ตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในก่อนของพระศาสดาหรือของเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ควรเคารพ แสดงอยู่ซึ่งธรรมว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้อันพระโยคีบุคคลควรรู้ยิ่ง ดังนี้, ปัญญาเป็นเครื่องรู้โสตาวธานนั้น คือปัญญาเป็นเครื่องรู้สุตะนั้น ได้แก่ ปัญญาอันทำการกำหนดรู้ซึ่งปริยาย ชื่อว่า สุตมยญาณ.
คำว่า ตํปชานนา - เป็นเครื่องรู้ซึ่งสุตะนั้น เป็นฉัฏฐีตัปปุริสสมาส วิเคราะห์ว่า ตสฺส ปชานนา - เป็นเครื่องรู้ซึ่งสุตะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง เป็นทุติยาวิภัตติด้วยสามารถแห่งวิภัตติวิปลาสว่า ตํ ปชานนา ดังนี้.
ก็คำว่า อภิญฺเยฺยา - ควรรู้ยิ่ง ความว่า ควรรู้ด้วยสามารถแห่งการรู้ซึ่งสภาวลักษณะ คือด้วยอาการแห่งปัญญาในมหากุศลญาณสัมปยุตจิต.
คำว่า ปริญฺเยฺยา - ควรกำหนดรู้ ความว่า ควรรอบรู้ด้วยสามารถแห่งการรู้ซึ่งสามัญลักษณะ และด้วยสามารถแห่งการยังกิจให้สำเร็จ.
คำว่า ภาเวตพฺพา - ควรอบรม ความว่า ควรเจริญ.
คำว่า สจฺฉิกาตพฺพา - ควรทำให้แจ้ง ความว่า ควรทำให้ประจักษ์. ก็การทำให้แจ้งมี ๒ อย่างคือ การทำให้แจ้งด้วยการได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 170
เฉพาะ ๑ การทำให้แจ้งด้วยการทำให้เป็นอารมณ์ ๑.
ธรรมทั้งหลายเหล่าใดจัดจำแนกเข้าฝ่ายเสื่อม กล่าวคือเป็นไปในฝ่ายแห่งความเสื่อมด้วยสามารถแห่งการกำเริบขึ้นแห่งธรรมอันเป็นข้าศึก ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า หานภาคิยา - อันเป็นส่วนแห่งความเสื่อม.
ธรรมทั้งหลายเหล่าใดจัดจำแนกเข้าในฝ่ายดำรงอยู่ กล่าวคือตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งการตั้งมั่นแห่งสติตามสมควรแก่ธรรมนั้น ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า ิติภาคิยา - อันเป็นส่วนแห่งการดำรงอยู่.
ธรรมทั้งหลายเหล่าใด จัดจำแนกเข้าในฝ่ายคุณวิเศษด้วยสามารถแห่งการบรรลุคุณพิเศษในเบื้องบน ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า วิเสสภาคิยา - อันเป็นส่วนแห่งคุณพิเศษ.
ธรรมใดย่อมชำแรก ย่อมทำลายกองโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งยังไม่เคยชำแรก ไม่เคยทำลาย ฉะนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า นิพเพธะ - ผู้ทำลาย คือ อริยมรรค, ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ย่อมจัดจำแนกเข้าในฝ่ายทำลายนั้น ด้วยสามารถแห่งการตั้งขึ้นแห่งสัญญามนสิการอันสหรคตด้วยนิพพิทา - ความเบื่อหน่าย ฉะนั้น ธรรมทั้งหลาย เหล่านั้น จึงชื่อว่า นิพเพธภาคิยา - อันเป็นส่วนแห่งความเบื่อหน่าย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 171
คำว่า สพฺเพ สงฺขารา - สังขารทั้งปวง ได้แก่ ธรรมอันเป็นไปกับด้วยปัจจัยทั้งปวง. ก็ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า สังขตธรรมธรรมอันมีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว. ธรรมเหล่าใดอันปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งขึ้น ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า สังขาร, สังขารเหล่านั้นนั่นแหละ ท่านกล่าวให้แปลกออกไปว่า สังขตา เพราะถูกปัจจัยทั้งหลายกระทำขึ้น. รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ในอรรถกถาท่านกล่าวว่า อภิสังขตสังขาร เพราะเกิดแต่กรรม. แม้อภิสังขตสังขารเหล่านั้น ก็ย่อมสงเคราะห์เข้าใน สังขตสังขาร ดุจในคำเป็นต้นว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา - สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ (๑) ดังนี้.
สังขารทั้งหลาย องค์ธรรมได้แก่กุศลอกุศลเจตนาในภูมิ ๓ มีอวิชชาเป็นปัจจัย มาแล้วในคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษบุคคลนี้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา ย่อมตกแต่งสังขารอันเป็นบุญและบาป (๒) ดังนี้ ชื่อว่า อภิสังขรณกสังขาร.
ความเพียรอันเป็นไปทางกายและทางใจ มาในคำเป็นต้นว่า คติแห่งอภิสังขารมีอยู่เท่าใด, ก็ไปเท่านั้น เหมือนกับถูกตรึงตั้งอยู่ (๓) ดังนี้ ชื่อว่า ปโยคาภิสังขาร.
๑. ที. มหา. ๑๐/๑๔๗. ๒. สํ. นิ. ๑๖/๑๙๑. ๓. อง. ติก. ๒๐/๔๕๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 172
วิตกวิจารปรุงแต่งวาจา มาแล้วในคำเป็นต้นว่า ดูก่อนวิสาขะอุบาสกผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน แต่นั้นกายสังขารดับ ต่อไปจิตสังขารจึงดับ (๑) ฉะนั้น จึงชื่อว่า วจีสังขาร.
อัสสาสะปัสสาสะ - ลมหายใจเข้าออก ย่อมตกแต่งกาย ฉะนั้น จึงชื่อว่า กายสังขาร.
สัญญาด้วย เวทนาด้วย ย่อมตกแต่งจิต ฉะนั้น จึงชื่อว่า จิตตสังขาร. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอา สังขตสังขาร.
ชื่อว่า อนิจจา - ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วกลับไม่มี. ชื่อว่า ทุกขา - เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า เบียดเบียน.
คำว่า สพฺเพ ธมฺมา - ธรรมทั้งปวง ท่านกล่าวรวมเอาพระนิพพานเข้าไว้ด้วย. ชื่อว่า อนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ.
ในเมื่อควรจะกล่าวว่า ทุกฺขสมุทโย ทุกฺขนิโรโธ ดังนี้ ท่านก็ทำให้เป็นลิงควิปลาสเสียว่า ทุกฺขสมุทยํ ทุกฺขนิโรธํ ดังนี้ ดุจในคำเป็นต้นว่า อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ดังนี้ แต่พระอริยะเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมแทงตลอด ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อริยสจฺจานิ - อริยสัจทั้งหลาย ดังนี้.
ชื่อว่า อริยสัจ เพราะเป็นสัจจะของพระอริยเจ้าดุจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
๑. ม. มู. ๑๒/๕๑๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 173
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้ ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมแทงตลอด, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อริยสัจ.
ชื่อว่า อริยสัจ เพราะสำเร็จความเป็นอริยะ เพราะตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งหลายเหล่านั้น ดุจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
พระตถาคตเป็นพระอริยะในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อริยสัจ (๑) .
และชื่อว่า อริยสัจ เพราะเป็นสัจจะอันประเสริฐ ดุจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอริยสัจ ๔ เหล่านี้แล ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นบัณฑิตจึงเรียกว่า อริยะ (๒) .
คำว่า อริยานิ - อันประเสริฐ คือ ไม่ผิดเพี้ยน, อธิบายว่า ไม่หลอกลวง. ดุจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
๑. สํ. มหา. ๑๙/๑๗๐๘. ๒. สํ. มหา. ๑๙/๑๗๐๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 174
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล เป็นของจริงแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น, เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อริยสัจ (๑) .
คำว่า สจฺจานิ - สัจจะทั้งหลาย ความว่า หากจะถามว่า อะไรเป็นอรรถของสัจจะเล่า? ก็มีคำตอบว่า ธรรมใดไม่วิปริตดุจดังมายา เป็นธรรมที่ทำให้เข้าใจผิดพลาด ดุจพยับแดดเป็นดุจตัวตนด้วยการคาดคะเนเอาของพวกเดียรถีย์หาสภาวะมิได้ ย่อมปรากฏแก่ผู้พิจารณาด้วยปัญญาจักษุ, ธรรมนั้นแลเป็นโคจรของอริยญาณ โดยประการแห่ง สันติ - ความสงบ และ นิยยาน - การนำออก จากแดนเกิดแห่งความลำบาก และโดยความเป็นจริงอันไม่วิปริต. ความเป็นจริงคือความแท้ความไม่วิปริตนี้ พึงทราบว่าเป็นอรรถะของสัจจะ ดุจลักษณะแห่งไฟ และดุจปกติของโลก. ความพิสดารดุจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงทำความเพียรเพื่อรู้ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ เป็นของจริงแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น (๒) .
๑. สํ. มหา. ๑๙/๑๗๐๗. ๒. สํ. มหา. ๑๙/๑๖๙๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 175
อีกอย่างหนึ่ง
ทุกข์เป็นของทำให้ลำบาก นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งใดทำให้ลำบาก สิ่งนี้จึงเรียกว่าสัจจะ เพราะนิยามว่าทำให้ลำบาก, เว้นจากสิ่งนั้นเสียแล้ว ทุกข์ไม่มีมาจากสิ่งอื่น ด้วยเหตุที่สิ่งนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยแน่นอน จึงเรียกสิ่งนั้นว่าวิสัตติกาคือตัณหาว่าเป็นสัจจะ, ความสงบอื่นจากพระนิพพานไม่มี เพราะฉะนั้น ความดับทุกข์จึงเป็นความจริง ด้วยเหตุที่พระนิพพานนั้นเป็นความดับทุกข์อย่างแน่นอน. ทางนำออกนอกจากอริยมรรคไม่มี เพราะฉะนั้น อริยมรรคจึงเป็นความจริง เพราะเป็นความนำออกอย่างแท้จริง, เพราะเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงได้กล่าวว่า ความเป็นจริงอันไม่วิปลาสจากความจริง ในธรรมแม้ทั้ง ๔ มีทุกข์ เป็นต้น ว่าเป็นอรรถะแห่งสัจจะเป็นพิเศษ ดังนี้.
ก็ สัจจะ ศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในอรรถเป็นอเนก คือ
ย่อมปรากฏในอรรถว่า วาจาสัจจะ ได้ในคำเป็นต้นว่า บุคคลพึงกล่าวความจริง ไม่พึงโกรธ (๑) ดังนี้.
๑. ขุ. ธ. ๒๕/๒๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 176
ย่อมปรากฏในอรรถว่า วิรติสัจจะ ได้ในคำเป็นต้นว่า และสมณพราหมณ์ทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในสัจจะ (๑) ดังนี้.
ย่อมปรากฏในอรรถว่า ทิฏฐิสัจจะ ได้ในคำเป็นต้นว่า พวกมีทิฏฐิต่างกัน ย่อมกล่าวสัจจะว่าสิ่งนี้แหละของจริง พวกนั้นจะเรียกว่า เป็นผู้ฉลาดเหมือนกันหมดหรืออย่างไร (๒) ? ดังนี้.
ย่อมปรากฏในอรรถว่า ปรมัตถสัจจะ คือนิพพาน และมรรค ในคำเป็นต้นว่า สัจจะมีเพียงอย่างเดียว สัจจะที่ ๒ ไม่มี ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้รู้โต้เถียงกัน (๓).
ย่อมปรากฏใน อริยสัจ ในคำเป็นต้นว่า สัจจะ ๔ เป็นกุศลเท่าไร? เป็นอกุศลเท่าไร (๔) ? ดังนี้. แม้ในที่นี้ สัจจ ศัพท์นี้นั้นย่อมเป็นไปในอรรถว่า อริยสัจ ฉะนี้แล.
อรรถกถาพรรณนาแห่งวิสัชนุทเทส
อันท่านสงเคราะห์แล้วในนิทเทสวาระ จบ
๑. ขุ. ชา. ๒๘/๓๕๘. ๒.- ๓. ขุ. สุ. ๒๕/๔๑๙. ๔. ขุ. ป. ๓๑/๕๕๑.