ถ. เวลาที่ผมเริ่มเจริญสติปัฏฐาน ตาไปกระทบสี แล้วเกิดความรู้สึกว่า เห็นสีปรากฏขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วเกิดเป็นความรู้สภาพรู้ว่า เห็นแล้วก็ดับไป และมีสภาพความอยากรู้อยากเห็นสิ่งนั้นว่าเป็นอะไรเกิดขึ้นแล้วดับไป แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานไหม
สุ. ยังไม่อยากเรียกว่า ได้เจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าระลึกอย่างไรจึงรู้ว่าสีมากระทบตา แล้วมีการเห็นเกิดขึ้น
ถ. ก็สีกระทบ
สุ. ระลึกอย่างไรจึงว่า สีกระทบแล้ว
ถ. ก็มีสภาพรู้
สุ. เดี๋ยวนี้สภาพรู้มีใช่ไหม สภาพกระทบเมื่อสักครู่นี้มีด้วยหรือที่จะให้เกิดความรู้ คือ รู้ถึงลักษณะที่กระทบกันด้วยหรือ
ถ. รู้ว่าเป็นสภาพรู้
สุ. เพราะฉะนั้น ต้องมีเหตุผลด้วยที่รู้ว่าเป็นคนละสภาพกัน ที่รู้จริงๆ เพราะระลึกอย่างไร แต่ไม่ใช่เพราะระลึกว่า สีมากระทบตาก่อน
ถ. รู้ว่าสภาพของจริงกำลังปรากฏทางตา ทางหู
สุ. ทีละทาง ทางตาก็ได้ ที่จะรู้ว่าสีไม่ใช่การเห็นนั้นระลึกอย่างไร แต่ไม่ใช่โดยลักษณะที่ว่า เพราะสีมากระทบตา
ถ. ปรากฏอยู่ แต่สภาพรู้นั้น
สุ. และที่ว่าอะไรเกิดก่อน รู้ได้อย่างไร
ถ. กำหนดหมาย
สุ. กำหนดหมายว่าสีเกิดก่อนอย่างไร
ถ. เพราะสีที่เห็นมากระทบตา
สุ. นั่นไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของสี หรือไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของเห็น แต่เป็นการคิดนึก
ถ้าระลึกรู้ว่า สภาพที่คิดนึกในขณะนั้นเป็นนามธรรม ก็ไม่ใช่รู้ลักษณะของสี ไม่ใช่ระลึกรู้ลักษณะของเห็น รวดเร็วมาก ต้องทีละอย่าง แล้วก็ชัด และถูกต้องด้วย ไม่ใช่ปนกัน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่รู้ว่า สีเกิดก่อน แล้วมากระทบตา แล้วจักขุวิญญาณเกิดทีหลัง จึงเป็นลักษณะที่ต่างกัน ไม่ใช่อย่างนั้น
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 131