โดยปกติชินกับการ..ที่ได้ยิน..ได้อ่านว่า ศึกษา วิเคราะห์อดีตเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันและอนาคตหรือบทเรียนในอดีตอาจจะเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน....แต่จากการศึกษาธรรมะเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์ควรพิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏเท่านั้น...ในพระไตรปิฏกกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไรคะ
บทเรียนในอดีต เป็นประโยชน์หรือไม่
ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ไหน
และเรายอมรับบทเรียนจริงๆ หรือเปล่า
สภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กิเลสยังตัดไม่ได้เด็ดขาด
วันนี้รู้สึกว่าเป็นบทเรียน
แต่วันหน้าสถานะการณ์เปลี่ยนไปกิเลสก็เปลี่ยนรูปแบบ บทเรียนที่ว่าก็ถูกลืม
ตัวสภาวธรรมวัดไม่ได้ด้วยเรื่องราว หรือบทเรียนใดๆ
เพราะสภาวธรรม เป็นกุศลหรืออกุศล เปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่ความรู้สึก ความคิดเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ถ้าไม่รู้จริงๆ อะไรผิดอะไรถูก ความเป็นตัวตน อดีตที่สะสมมาก็เข้าครอบงำ
ในพระไตรปิฎกมีกล่าวมากมายถึงกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำตามการสะสม
หลายๆ เรื่องท่านใช้เวลาและความอดทนนานมากในการละบาป บำเพ็ญบุญ
ยากจริงๆ ที่จะเป็นคนดีจริงๆ
คิดเพราะกุศลจิตเป็นปัจจัยให้คิด ...เป็นประโยชน์คิดเพราะอกุศลจิตเป็นปัจจัยให้คิด ...ไม่เป็นประโยชน์
ถ้าสติฯ ระลึกได้และปัญญาก็เข้าใจถูก เห็นถูกในนามธรรมที่กำลังคิด
ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราไม่ว่าความคิดนั้นจะกำลังคิดด้วยกุศล หรือ ด้วยอกุศลก็ตาม...ขณะนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง...
เพราะว่ากำลังเป็นการศึกษาให้ค่อยๆ เกิดความรู้ที่ถูกต้อง
ในสภาพธรรมที่ปรากฏ...ตรงตามความเป็นจริง
00327 ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
...พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า...
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น
ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้
บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
ธรรมเตือนใจวันที่ : 13 ก.ย. 2548
ขออนุโมทนาครับ
เชิญคลิกอ่าน..อย่างไรเรียกว่าคิดถึงอดีต อนาคต [โลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร]
เมื่อยังมีเหตุปัจจัย จะห้ามความคิดถึงอดีตหรืออนาคตก็ย่อมไม่ได้ (แม้ว่าจะรู้แล้วว่า
ไม่ควรคิดถึงเรื่องเหล่านั้น)
การเจริญสติจึงไม่ใช่การห้ามความคิดครับ เพราะห้ามไม่ได้ แต่ถ้าหากสติเกิดขึ้น
ระลึกลักษณะสภาพรู้ที่กำลังคิด ขณะที่คิดนั้นย่อมเป็นประโยชน์ (ไม่ว่าเรื่องที่คิด
นั้นจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตครับ)
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
มั่นคงในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คิดมีจริง ห้ามให้ไม่ให้คิดได้ไหม
เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ย่อมเป็นปัจจัยให้คิดปรุงแต่งไปตามการสะสม
แม้ไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินอะไร นึกคิดได้ไหม ห้ามได้หรือเปล่า
แม้การคิดในเรื่องในอดีต
ขณะที่คิดถึงเรื่องอดีต ขณะนั้นอะไรมีจริง เรื่องราวหรือสภาพที่คิด
ในพระไตรปิฎกในเรื่องผู้มีราตรีเดียวหนึ่งเจริญ
ไม่ควรคำนึงในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว เพระระลึกด้วยอำนาจกิเลส
ไม่ควรมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเพระเป็นไปด้วยกิเลสในขณะนั้น
เห็นแจ้งในธรรมในปัจจุบัน ขณะที่คิด คิดคือสิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันกำลังปรากฎ
พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ คือสติเกิดระลึกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
คิดอยู่แล้วเป็นปกติทั้งในเรื่องอดีต..อนาคต
ประโยชน์คือฟังให้เข้าใจในเรื่องสภาพธรรม
นั่นแหละจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจตัวจริง
แม้ขณะคิดเรื่องอดีต
อนุโมทนา สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
จัดเป็นการพิจารณาอดีตหรือเปล่าครับ
การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
จัดเป็นการพิจารณาอดีตหรือเปล่าครับ
การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นการพิจารณาบัญญัติครับ
บุคคล รำพึง ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยสติบุคคล ไม่รำพึง ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยสติ
ขออนุโมทนา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างมีเหตุและผลเสมอ
ทุกสิ่งเป็นธัมมะ
ความเข้าใจถูกช่วยทุกสิ่งได้เสมอ
อนุโมทนาค่ะ
การฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ แล้วมีความเข้าใจในลักษณะสภาพธรรม
ที่กำลังปรากฎ เกื้อกูลให้สติน้อมไปในลักษณะสภาพธรรม...
เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ไม่มีตัวตนที่เข้าใจ
มีแต่ปัญญาที่ได้อบรมมาแล้ว...มีแต่สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้ปัญญาเกิด...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เชิญคลิกอ่าน...ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน [โลมสกังคิยภัทเทกรัตตสูตร]
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา
เจ้าของกระทู้ใช้คำว่า เหมือนว่า ไม่เป็นประโยชน์ ผมว่าไม่เป็นประโยชน์แน่แท้เลยที่เดียว เพราะว่าไม่สามารถประจักษ์สภาพธรรมได้ ในการฟังธรรม เมื่อฟังแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจในทันที ท่านว่าจะต้องมีการระลึกและศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง ถ้าไม่เข้าใจก็ถามผู้รู้หรือเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก การระลึกและศึกษานั้นก็จะเต็มไปด้วยความคิดเป็นเรื่องเป็นราว ถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นวิเคราะห์ เป็นปัญหา ฯลฯ ถ้าผิดก็ไม่ต้องพูดถึงทื้งไปได้เลย เอาแต่ที่ถูกทีได้จากกัลยาณมิตรหรือพระไตรปิฎก เมื่อรู้ถูกแล้วก็จบ เป็นรู้ถูกขั้นคิดนึกเท่านั้น แต่จะเป็นสังขารขันธ์ให้สติได้ ครับ
ที่ว่าคิดถึงอดีตเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์..ขึ้นกับขณะจิตที่ระลึกว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
.
เช่น..การระลึกถึงความดีที่ทำมาก่อนตายจิตเป็นกุศลนำเกิดในสุขคติภูมิเป็นการระลึกถึงอดีตที่เป็นประโยชน์....และในทางตรงกันข้ามการระลึกถึงอดีตด้วยอกุศลจิตไม่เป็นประโยชน์..
ถ้าสติฯ ระลึกได้และปัญญาก็เข้าใจถูก เห็นถูกในนามธรรมที่กำลังคิด
ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา
ไม่ว่าความคิดนั้นจะกำลังคิดด้วยกุศล หรือ ด้วยอกุศลก็ตาม...ขณะนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง (จาก..ajarnkruo) ............การคิดถึงอดีตโดยปกติเป็นเรื่องราวเป็นบัญญัติไม่เป็นประโยชน์ที่ทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่บังคับบัญชาไม่ใด้....ความเข้าใจธรรมะจะทำให้พิจารณาได้ว่าอะไรเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์จนถึงเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงด้วยปัญญาละอกุศลได้ตามลำดับและ...ความเศร้าหมองแห่งปัญญาบารมี เพราะกำหนดว่า เรา ของเราเชิญคลิกอ่าน..ความเศร้าหมองแห่งบารมีทั้งหลาย
ขอขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านคะ
ขออนุโมทนาครับ