สุขเท่าไหร่ก็ไม่พอ แล้วก็ลืม ทุกอย่างเพียงชั่วคราว ไม่ว่าจะสุขสักเพียงใดก็ต้องหมดไป หมดไปแล้วนานเข้าก็ลืม สู้ไม่เกิดเลยจะไม่ดีกว่าหรือ แต่ก็ต้องด้วยปัญญาที่เห็นความจริงและสละความติดข้องได้
จากการสนทนาพระสูตรที่ มศพ. ๒๕ ส.ค. ๕๕
ดีแสนดีแต่ไม่เข้าใจพระธรรม ความดีนั้นไม่บริสุทธิ์เพราะเหตุว่าดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา แต่มีธรรมะฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี ปัญญาสามารถเห็นถูกว่าดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว แล้วมีหรือที่ปัญญาจะเลือกทางชั่ว
ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกเห็นถูก ทุกคนเกิดมาเห็นถูกหรือเปล่า ไม่ได้ยินได้ฟังอะไรเลยแต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วสามารถไตร่ตรองพิจารณาได้ ก็แล้วแต่กำลังของสติปัญญา
บางคนชอบความสุขเหลือเกิน ใครบ้างไม่ชอบ ยิ่งสุขยิ่งชอบ ถ้าความสุขไม่เกิดเลยจะไม่ดีกว่าหรือ เพราะเกิดแล้วต้องชอบ ไม่พอ ยิ่งสุขยิ่งดียิ่งชอบ จะมีจุดจบหรือที่สุดของความสุขไหมในเมื่อเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ถ้าเป็นคนฉลาดและรู้ความจริง อาจหาญที่จะรู้ว่า ถ้าความสุขนั้นไม่เกิดขึ้นเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ต้องอาจหาญมากที่จะรู้ว่าหนทางที่จะไม่เกิดมี เพราะฉะนั้นฟังธรรมทั้งหมดแม้แต่อริยสัจเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา มรรค ๘ จะได้รู้ความจริงซึ่งเป็นทุกข์ เป็นเหตุของทุกข์ จะได้ถึงการดับทุกข์ ถึงนิโรธและรู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร ... หนทางนั้นคือการที่จะไม่ต้องเกิดอีกเลย แม้แต่ความสุขที่ต้องการ สุขเท่าไหร่ก็ไม่พอ อยากสุขอีกๆ แต่ก็ต้องรู้ว่าถ้าไม่สุขหรือถ้าสุขนั้นไม่เกิดเลยจะไม่ดีกว่าหรือ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพียงชั่วคราวจริงๆ แล้วก็ลืม ไม่มีความสำคัญใดๆ เลยเพราะลืมแล้ว สุขอย่างไรก็ตามถ้าไม่เกิดเลยจะไม่ดีกว่าหรือ
ธรรมะทั้งหมดสำหรับไตร่ตรอง สัจจะความจริงสามารถเข้าใจในขั้นฟังก่อน แค่ไหน และในขั้นฟังไม่สามารถเป็นอย่างที่เข้าใจได้เลย แต่ต้องอาศัยการอบรม ปัญญาสามารถจะเจริญขึ้นเพราะอวิชชาไม่เห็นเลย อวิชชาไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดโลภะความติดข้อง แต่ปัญญาเป็นความรู้ ปัญญาไม่ทำให้ติดข้องเลยและสามารถทำให้สละ ละสิ่งที่เคยติดข้องได้ แม้ว่าจะติดข้องมานานแสนนานก็สามารถดับสละหมดไม่ต้องการอีกแล้วได้
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ