ขอขอบคุณท่านผู้รู้ที่ท่านตอบคำถามของข้าพเจ้า และสาธุการทุกประการ ขอให้ผู้ที่อยู่ที่โลกนี้ทุกท่านจงเข้าใจในธรรมอย่างถ่องแท้ จงเอาประโยชน์จากธรรมนี้ให้ได้ประโยชน์จงเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเถิด ข้อที่ข้าพเจ้าจักถามท่านก็คือ เพนียด กาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด อาการของนิพพาน ความเข้าใจ ของแท้ ประจักษ์ ประจักษ์แจ้ง คืออย่างไร สาธุ สาธุ สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แน่นอนครับว่า นิพพานต้องเป็นพระนิพพาน ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่เป็น จิต เจตสิกและรูป แต่พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มีจิต เจตสิกและรูป จึงไม่เกิดขึ้นและดับไปเลย เป็นสภาพธรรมที่เที่ยง และเป็นสภาพธรรมที่เป็นสุขด้วย แต่ที่สำคัญ พระนิพพาน แม้จะเที่ยง เป็นสุข แต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่อัตตา เพราะพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่สูญ สูญในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่สูญ จากความเป็นสัตว์ บุคคล คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลให้ยึดถือในพระนิพพาน พระนิพพานจึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และที่สำคัญ บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยครับจึงเป็นอนัตตา ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่อัตตา ดังนั้น เรียกพระนิพพานว่าพระนิพพานได้ และพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ ซึ่งขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ
ส่วนกาลเวลาไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับพระนิพพาน ไม่มีกาลเวลา ไม่มีการเริ่มต้น ไม่มีการสิ้นสุด เพราะ เวลามีได้ เพราะ อาศัยการเกิดขึ้นและดับไปของจิต เจตสิก แต่นิพพาน คือ สภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่สถานที่เป็นอนันต์ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมเลย จึงไม่มีกาลเวลา เมื่อไม่มีกาลเวลา ก็ไม่มีคำว่า กาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ครับ
ส่วนการประจักษ์พระนิพพาน ต้องด้วยปัญญา ที่เป็น ขณะที่เป็น มรรคจิต ผลจิต ซึ่งเป็นจิตขั้นโลกุตตระ ซึ่งจะถึงได้ด้วยการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม อย่างยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน จนปัญญาแก่กล้า ถึงปัญญาที่เป็น มรรคจิต ดับกิเลส ก็ประจักษ์สภาพธรรมที่เป็นพระนิพพานได้ ครับ
หากแต่ว่า ตอนนี้เป็นเรื่องที่ไกล แทนที่เราจะมาหาว่า ผล เป็นอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เปรีบเหมือน คนที่ไม่เคยไปเชียงใหม่เลย ไม่เคยเห็นเชียงใหม่ แม้จะบอกว่าเชียงใหม่เป็นอย่างไร ก็คิดตามที่นึกเดา เพราะไม่ได้เห็น ได้ประจักษ์ด้วยตนเอง แต่ควรจะหาหนทางที่จะถึงเชียงใหม่ ฉันใด การจะถึงการประจักษ์พระนิพพาน ก็ด้วยการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม อย่างยาวนาน ในอนาคตก็ถึงได้ในที่สุด ครับ ซึ่ง กาลเวลา ย่อมไม่มีที่สุด สำหรับ สังสารวัฏฏ์ของผู้ที่ไม่ได้ดับกิเลส ของคนพาล แต่ กาลเวลา มีที่สิ้นสุด สำหรับผู้ที่อบรมปัญญาในหนทางที่ถูกต้อง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือนามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระนิพพาน ไม่มีการเกิด พระนิพพาน ไม่มีคติใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสุคติหรือทุคติก็ตาม เพราะไม่มีการเกิด พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ ท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริง ๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลยก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึนอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
นิพพานไม่เกิดไม่ดับ เที่ยงและสุข ค่ะ