[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 800
สุตตนิบาต
อัฏฐกวรรคที่ ๔
จูฬวิยูหสูตร ๑๒
ว่าด้วยผู้ยินดีในทิฏฐิของตน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 800
จูฬวิยูหสูตร ๑๒
ว่าด้วยผู้ยินดีในทิฏฐิของตน
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[๔๑๘] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฏฐิของตนๆ ถือมั่นทิฏฐิแล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าว ต่างๆ กันว่า ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม คือทิฏฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฏฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม.
สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฏฐิ แม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้ วาทะไหน เป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 801
ก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฏฐิ.
ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใส อยู่ในทิฏฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฏฐิเหล่านั้น ก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฏฐิของชน แม้เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฏฐิเสมอกัน เหมือนทิฏฐิของพวกชนนอกนี้.
อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกัน และกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง (สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา.
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฏฐิ ใดว่า เป็นความจริงแท้ แม้สมณพราหมณ์ พวกอื่นก็กล่าวทิฏฐินั้นว่า เป็นความเท็จ ไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 802
(ความจริงต่างๆ กัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วก็วิวาทกัน เพราะเหตุไร สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้.
พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลาย กล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 803
สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนทิฏฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฏฐิธรรมอันเป็นคู่กันไป จริงๆ เท็จ.
ก็บุคคลเจ้าทิฏฐิ อาศัยทิฏฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฏฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด.
บุคคลเจ้าทิฏฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลา ด้วยทิฏฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฏฐินั้นเอง บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาดด้วยทิฏฐินั้น.
ชื่อว่าเจ้าทิฏฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่ง และมัวเมาเพราะมานะ มีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฏฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 804
ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ ด้วยลำพังตนเองไซร้สมณพราหมณ์ทั้งหลาย. ก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา.
ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฏฐิอื่นจากนี้ไป ชนเหล่านั้นผิดพลาด และไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด เดียรถีย์ทั้งหลาย ย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมากเพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนัก ด้วยความยินดีในทิฏฐิของตน.
เดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฏฐินี้เท่านั้น หากกล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่ เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น.
อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่น ในลัทธิของตนจะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลา ในลัทธินี้เล่า เดียรถีย์นั้น เมื่อกล่าวผู้อื่นว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 805
เป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนถ่ายเดียว.
เดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฏฐิแล้วนิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฏฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลก ฉะนี้แล.
จบจูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒
อรรถกถาจูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒
จูฬวิยูหสูตร มีคำเริ่มต้นว่า สกํ สกํ ทิฏฺิปริพฺพสานา สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฏฐิของตนๆ ดังนี้เป็นต้น.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร?
ในมหาสมัยนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้ก็เพื่อประกาศความนั้นแก่เทวดาบางพวกผู้มีจิตเกิดขึ้นแล้วว่า ผู้ถือทิฏฐิเหล่านี้ทั้งหมดกล่าวว่า เราเป็นผู้ดี ผู้ถือทิฏฐิว่าเราเป็นผู้ดีเหล่านี้ตั้งอยู่ในทิฏฐิของตนเท่านั้นหรือว่ารับทิฏฐิแม้อื่นด้วยทรงให้พระพุทธนิมิตถามพระองค์โดยนัยก่อน นั่นแล.
ในสูตรนั้นสองคาถาข้างต้นเป็นคาถาถามนั่นเอง. ในคาถาเหล่านั้น คาถาว่า สกํ สกํ ทิฏฺิปริพฺพสานา คือยึดมั่นอยู่ในทิฏฐิของตนๆ. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 806
วิคฺคยฺห นานา กุสลา วทนฺติ ถือมั่นทิฏฐิแล้วปฎิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด คือ ถือมั่นทิฏฐิเเรงกล้าแล้วปฏิญาณว่า เราเป็นผู้ฉลาดในทิฏฐินั้น พูดมากๆ ไม่พูดหนเดียว. บทว่า โย เอวํ ชานาติ ส เวทิ ธมฺมํ อิทํ ปฏิกฺโกสมเกวลี โส ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม ผู้นั้นคัดค้านธรรม ถือทิฏฐินี้ ความว่า ผู้ใดรู้อย่างนี้หมายถึงทิฏฐินั้น ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฏฐิ คัดค้านธรรมคือทิฏฐินี้อยู่ บัณฑิตกล่าวว่าผู้นั้นเป็นคนเลว. บทว่า พาโล คือ เป็นคนเลว. บทว่า อกุสโล คือ เป็นคนไม่ฉลาด. อีกสามคาถาเป็นคาถาแก้. คาถาเหล่านั้นประมวลความที่กล่าวแล้วด้วยกึ่งคาถาก่อนโดยกึ่งคาถาหลัง. พระสูตรนี้ได้ชื่อว่า จูฬพยูหะ เพราะมีความน้อยกว่าสูตรก่อน ด้วยการประมวลนั้น.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ปรสฺส จ ธมฺมํ คือ ความเห็นของคนอื่น. บทว่า สพฺเพวิเม พาลา อธิบายว่า เมื่อเป็นอย่างนี้คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคนพาล. เพราะอะไร เพราะคนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคนยึดมั่นอยู่ในทิฏฐิ. บทว่า สนฺทิฏฺิยา ปน ฯเปฯ มติมา ก็คนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฏฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาด มีความคิดอธิบายว่า หากว่าคนเหล่านั้นเป็นคนไม่ผ่องใส เป็นคนเศร้าหมองในทิฏฐิของตนๆ จัดว่า เป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาด และเป็นคนมีความคิด อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า สนฺทิฏฺิยา เจ วทาตา หากว่าเป็นผู้ผ่องใสในความเห็นของตน. มีอธิบายว่า หากคนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสมีปัญญาบริสุทธิ์ เป็นคนฉลาดและเป็นคนมีความคิดในทิฏฐิของตนๆ. บทว่า น เตสํ โกจิ บรรดาเจ้าทิฏฐิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 807
เหล่านั้น ก็จะไม่มีใครๆ คือ เมื่อเป็นอย่างนี้ บรรดาเจ้าทิฏฐิเหล่านั้นก็จะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีปัญญาทราม. เพราะอะไร เพราะทิฏฐิของคนแม้เหล่านั้นล้วนเป็นทิฏฐิเสมอกันเหมือนทิฏฐิของคนนอกนี้. พึงทราบการเชื่อมความแห่งคาถาว่า น วาหเมตํ เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ ต่อไปว่า คนสองพวกกล่าวกันและกันว่าเป็นคนเขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้. เพราะอะไร เพราะเหตุที่คนเหล่านั้นทั้งหมดได้ทำความเห็นของตนๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ ด้วยเหตุนั้นคนเหล่านั้นจึงตั้งคนอื่นว่าเป็นคนเขลา. ในบทนี้มีปาฐะเป็นสองอย่าง คือ ตถิยํ และ ตถิวํ แปลว่า เป็นของแท้.
บทว่า ยมาหุ ในคาถาเป็นคำถาม. สมณพราหมณ์บางพวกกล่าว ทิฏฐิใด ว่าเป็นความจริงแท้.
บทว่า เอกํ หิ สจฺจํ ในคาถาเป็นคำแก้ คือ สัจจะมีอย่างเดียว ได้แก่ นิโรธหรือมรรคเป็นสัจจะมีอย่างเดียว. บทว่า ยสฺมึ ปชาโน วิวเท ปชานํ ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่ คือ ทราบชัดในสัจจะทราบชัดอยู่จะต้องวิวาทเพราะสัจจะอะไรเล่า. บทว่า สยํ ถุนนฺติ สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมกล่าวสัจจะให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง.
บทว่า กสฺมา นุ ในคาถาเป็นคำถาม แปลว่า เพราะเหตุไรหนอ. บทว่า ปวาทิยาเส คือ กล่าวยกตน. บทว่า เต ตกฺกมนุสฺสรนฺติ คือ หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นระลึกตามความคาดคะเนของตน.
บทว่า นเหว เป็นคาถาแก้ แปลว่า ไม่มีในโลกเลย. บทว่า อญฺตฺร สญฺาย นิจฺจานิ เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย คือ เว้นเพียงสัญญา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 808
ว่าเที่ยงใช้ศัพท์ว่า สจฺจํ คือจริง. บทว่า ตกฺกํ จ ทิฏฺีสุ ปกปฺปยิตฺวา กำหนดความคาดคะเนในทิฏฐิทั้งหลาย คือ เพียงให้ความดำริผิดของตนเกิดในทิฏฐิทั้งหลาย. ก็เพราะบุคคลนั้นเกิดความวิตกขึ้นในทิฏฐิทั้งหลาย จึงเกิดทิฏฐิฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า เจ้าทิฏฐิทั้งหลาย ยังทิฏฐิให้เกิด ให้เกิดพร้อมดังนี้ไว้ในนิเทศ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อสัจจะต่างๆ ไม่มีอยู่ เพื่อจะทรงแสดงถึงการปฏิบัติผิดของเจ้าทิฏฐิทั้งหลาย ผู้ระลึกถึงเพียงความคาคคะเนจึงได้ตรัสคาถาทั้งหลายมีอาทิว่า ทิฏฺเ สุเต ในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า ทิฏฺเ คือรูปที่ได้เห็น อธิบายว่า ความบริสุทธิ์แห่งรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟังเป็นต้นก็มีนัยนี้. บทว่า เอเต จ นิสฺสาย วิมานทสฺสี อาศัยทิฎฐิเหล่านี้ จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ คืออาศัยธรรม คือ ทิฏฐิเหล่านี้ เป็นผู้เห็นความไม่นับถือ ความไม่ยกย่อง กล่าวคือ ความบริสุทธิ์. บทว่า วินิจฺฉเย ตฺวา ฯเปฯ จาห ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยร่าเริงอยู่ กล่าวคือ คนอื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด คือ แม้เห็นความบริสุทธิ์อย่างนี้ก็ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฎฐินั้นเป็นผู้ยินดี ร่าเริง กล่าวอย่างนี้ว่า คนอื่นเป็นคนเลวและไม่ฉลาด ดังนี้. เมื่อเป็นอย่างนี้ ควรทราบคาถาว่า เยเนว ด้วยทิฏฐิใดดังนี้ เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สยมตฺตนา ด้วยลำพังตน คือ ตนเองนั่นแหละ. บทว่า วิมาเนติ คือ ย่อมติเตียน. บทว่า ตเทว ปาวา กล่าวทิฏฐินั่นเอง คือ กล่าวคำพูดอันเป็นทิฏฐินั่นเอง หรือกล่าวถึงบุคคลนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 809
พึงทราบความแห่งคาถาว่า อติสารทิฏฺิยา ด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งต่อไป เจ้าทิฏฐินั้นเต็มเปี่ยมอืดด้วยทิฏฐิอันเป็นสาระยิ่ง อันมีสาระยิ่งด้วยลักษณะนั้น อนึ่งเต็มเปี่ยมด้วยทิฏฐิมานะนั้น มีมานะบริบูรณ์อย่างนี้ว่า เราเท่านั้น อภิเษกตนเองด้วยใจว่าเรา เป็นบัณฑิต. เพราะอะไร. เพราะว่า ทิฏฐินั้นของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น.
พึงทราบการเชื่อมและความในคาถาว่า ปรสฺส เจ ดังนี้. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้น มีดังต่อไปนี้ ผู้ใดตั้งอยู่ในวินิจฉัยด้วยทิฏฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า คนอื่นนั้นพาล ไม่ฉลาด ดังนี้ ก็ถ้าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่จะเป็นคนเลวทราม ด้วยถ้อยคำของผู้อื่น ตนก็จะมีปัญญาทรามไปด้วยกัน คือ เป็นผู้มีปัญญาเลวทรามไปกับเขาด้วย แม้ผู้นั้นก็ย่อมกล่าวผู้มีปัญญาทรามว่าเป็นคนเขลาเลวทราม เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้อยคำของเขาไม่มีประมาณ ก็หากว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ถึงเวท และเป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเอง เมื่อเป็นอย่างนั้น สมณะทั้งหลายก็จะไม่มีใครเป็นคนเขลา สมณะเหล่านั้นทั้งหมดก็จะเป็นบัณฑิตตามความปรารถนาของตนๆ.
พึงทราบการเชื่อมและความในคาถาว่า อญฺํ อิโต ทิฏฐิอื่นจากนี้ไป ดังต่อไปนี้. จะพึงมีผู้ถามว่า ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ว่า อถ เจ สยํ ฯเปฯ สมเณสุ อตฺถิ ความว่า ก็หากว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ถึงเวท ฯลฯ สมณะทั้งหลายก็จะไม่มีใครเป็นคนเขลา เพราะเหตุไร จึงตรัสแก่ใครๆ อีก. จะอธิบายในข้อนั้นต่อไป. เพราะชนเหล่าใด กล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฏฐิอื่นจากนี้ไป ชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์หมดจด เพราะเดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวอย่างนี้โดยมาก ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฏฐิอื่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 810
จากนี้ไป ชนเหล่านั้นผิดพลาดทางอันบริสุทธิ์ และเป็นผู้ยังไม่บริบูรณ์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าพวกเดียรถีย์เป็นอันมากกล่าวไว้อย่างนี้. หากจะถามว่า เพราะเหตุไร พวกเดีรถีย์จึงกล่าวอย่างนั้น. ตอบว่า เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้น ยินดีนัดด้วยความยินดีในทิฏฐิของตน. ก็เดียรถีย์เหล่านั้นยินดียิ่งอย่างนี้ จึงตรัส คาถาต่อไปว่า อิเธว สุทฺธึ กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือ ทิฏฐินี้เท่านั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สกายเน คือ ในทางของตน. บทว่า ทฬฺหํ วทานา คือ รับรองอย่างหนักแน่น. อนึ่ง ในบรรดาเดียรถีย์ผู้รับรองอย่างหนักแน่นเหล่านั้น เดียรถีย์คนใดคนหนึ่งรับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน จะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นคนเขลาในลัทธินี้เล่า. เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตน อันได้แก่สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิในทิฏฐินั้นโดยสังเขป หรือ อันต่างด้วย นัตถิกทิฏฐิ อิสสระ การณะ นิยตะเป็นต้นโดยพิสดารว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง พึงเห็นใครอื่นว่าเป็นคนเขลาในทิฏฐินี้ โดยธรรมเหล่า ตามความเห็นของเดียรถีย์นั้นแม้คนทั้งปวงก็เป็นบัณฑิต และเป็นผู้ปฏิบัติชอบได้เหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนั้น เดียรถีย์นั้นเมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นคนเขลา มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียว คือ เดียรถีย์แม้นั้นยังกล่าวผู้อื่นว่า ผู้นี้เป็นคนเขลา และมีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็จะพึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตน. เพราะเหตุไร. เพราะตามความเห็นของเดียรถีย์นั้นแม้ชนทั้งหมดก็เป็นบัณฑิต และเป็นผู้ปฏิบัติชอบได้เหมือนกัน. พึงทราบโดยประการทั้งปวงอย่างนี้. บทว่า วินิจฉเย ตฺวา ฯเปฯ วิวาทเมติ ความว่า เดียรถีย์นั้นตั้งอยู่ในการวินิจฉัยด้วยทิฏฐิ แล้วนิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 811
วิวาทกันยิ่งขึ้นไป เพราะเหตุนั้นบุคคลรู้โทษในการวินิจฉัยด้วยทิฏฐิอย่างนี้แล้ว ละการวินิจฉัยด้วยทิฏฐิทั้งหมดด้วยอริยมรรค แล้วไม่ทำการทะเลาะวิวาทกันในโลก. ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอด คือ พระอรหัต.
เมื่อจบเทศนาได้มีผู้บรรลุเช่นกับที่ได้กล่าวแล้วในปุราเภทสูตรนั่นแล.
จบอรรถกถาจูฬพยูหสูตรที่ ๑๒ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา