ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เวลาฟังหรือศึกษาธรรม ให้เข้าใจ และไม่ต้องพยายามไขว่คว้าหาอะไรอีก แต่ให้รู้ว่าเป็นการอบรมความเข้าใจถูกว่า "ไม่ใช่ตัวเรา" ไม่อย่างนั้นเราจะมีความติดข้อง และไขว่คว้าหาอยู่เรื่อยๆ ว่า นี่อะไร นั่นอะไร ซึ่งไม่มีวันจบตำรา แต่ให้ทราบว่าขณะนี้ "สภาพธรรม" กำลังปรากฏ แล้วจะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ว่า "ชื่อ"ทั้งหมดที่เรียนมาแล้วคือตรงนี้ ที่กำลังปรากฏตรงที่ "เห็น" เป็นสิ่งที่มีจริง และมี "สิ่งที่ปรากฏ" จริงๆ จะต้องเข้าใจในสภาพธรรมที่ต่างกันของ "นามธรรม" และ "รูปธรรม" ฯลฯ
จากหนังสือ "ธรรมาภิสมัย" บรรยาย
โดย อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์
โดย "กลุ่มกอบัว"
ธรรมเป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ รู้ได้เฉพาะตน ใครก็ทำปัญญาให้เราไม่ได้ นอกจากเราจะอบรมเองค่ะ ด้วยการฟัง การพิจารณา ฯลฯ
ขออนุโมทนาคุณ พุทธรักษา และ "กลุ่มกอบัว" ค่ะ
ธรรมเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น แสดงชื่อเพื่อให้เข้าใจสภาพธัมมะทีีมีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนา
"จะต้องเข้าใจในสภาพธรรมที่ต่างกันของ "นามธรรม" และ "รูปธรรม"
นี้หมายถึง เจริญอบรมปัญญาจนเกิดพละ เพียงพอที่จะประจักษ์ญาณในสภาพธรรมที่ต่างกัน ซึ่งก็คือ นามรูปปริจเฉทญาณ นั่นเอง ซึ่งก็ยังอีกไกล ควรศึกษาเพื่อเข้าใจความต่างของนามธรรมและรูปธรรมในขั้นของการฟังจนเป็นความเข้าใจจริงๆ ก่อนครับ
เริ่มจากการศึกษาพร้อมสติ ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จนกว่าความเข้าใจถูกจะเพิ่มขึ้น จนเป็นสัญญาที่มั่นคง ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น จะเรียกว่ารูปหรือนาม หรือไม่เรียกชื่ออะไร สภาพธรรมนั้นก็ยังคงสภาวลักษณะเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม ก็เป็นเพียงแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จึงไม่ไช่สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามที่บัญญัติกันในทางโลก
เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ขั้นที่สูงขั้นไป คือการบรรลุวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ซึ่งขั้นแรกก็คือ นามรูปปริจเฉทญาณ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ