โทษของกามหมายถึงอะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ส่วนคำว่า กาม ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่ากาม ก่อนครับว่าคืออะไร กาม ชื่อว่า “กาม” เพราะอรรถว่า อันสัตว์ใคร่ กามมี ๒ อย่างคือ กิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑
กิเลสกาม ได้แก่ ฉันทราคะ คือ โลภเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ยินดี พอใจติดข้องในอารมณ์
วัตถุกาม คือ สภาพธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความยินดี ความพอใจความปรารถนา
ฉะนั้น วัตถุกาม ได้แก่ วัฏฏะ ซึ่งเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ คือ ทั้งกามภูมิ รูปภูมิ และ อรูปภูมิ เพราะไม่พ้นจากการเป็นวัตถุที่ยินดีพอใจของกิเลสกาม
ซึ่งโทษของกาม ก็มีจริง เพราะ กาม ที่เป็นวัตถุกาม ที่เป็นสสภาพธรรมที่มี จริง ที่เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส เหล่านี้ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป เมือ่เป็นเช่นนี้ สัตว์โลกเมือ่ยึดถือใน รูป เสียง เป็นต้นที่น่ายินดี สำคัญว่าสุข แต่สิ่งเหล่านั้นก็แปรปรวนไป ทำให้เกิดทุกข์มาก มาย ทั้งทุกข์กาย และ ทุกข์ใจ อันเกิดจากการพลัดพรากจาก วัตถุกามนั้น และ ต้องทำบาป เพราะ อาศัยการมีการเกิดขึ้นของ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบ สัมผัส นี่คือ โทษของวัตถุกาม และ ที่สำคัญที่สุด ที่เป็นกาม คือ กิเลสกาม ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี คือ กิเลส ที่เป็นโลภะ ความติดข้อง ย่อมนำมาซึ่ง ความ ทุกข์ทางกาย และ ทางใจ เพราะ อาศัยกิเลสที่มีจริง ที่ติดข้องในสิ่งต่างๆ แล้ว ก็ทำบาปเพราะ การติดข้องโดยการพยายามให้ได้มา โดยการทำบาป เมื่อทำบาป ย่อมได้รับทุกข์เพราะกรรมนั้น และ เมื่อพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เพราะ อาศัยกิเลส ที่ติดข้อง ที่เป็น กิเลสกาม ก็ทำให้เดือดร้อนใจ ทุกข์ใจมากมาย มีการเศร้าโศก ต่อ บุตร ภรรยา ญาติ เพราะ อาศัยกิเลสกาม ครับ และ เมือ่ทำบาป เพระาอาศัยกิเลส กาม ก็ทำให้ได้รับทุกข์ในการเกิดในนรก และ ทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการติดข้อง และ อาศัย กิเลสกามที่มีอยู่ ก็ทำให้ไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ ครับ
ส่วน โทษในปัจจุบันที่เห็นๆ กันอยู่ เพราะ อาศัยกาม ความติดข้อง ก็ทำให้ สัตว์ โลกดิ้นรน ปรพกอบอาชีพ เพื่อตน เพื่อคนอื่น อย่างยากลำบาก เพราะเหตุด้วย ความรัก ความติดข้องเป็นต้น ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 583
ว่าด้วยโทษของกาม
[๒๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ภัย นี้ เป็นชื่อของกาม คำว่า ทุกข์ นี้ เป็นชื่อของกาม คำว่า โรค นี้ เป็นชื่อของกาม คำว่า ฝี นี้ เป็นชื่อของกาม คำว่า เครื่องขัดข้อง นี้ เป็นชื่อของกาม คำว่า เปือกตม นี้ เป็นชื่อของกาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุไร คำว่า ภัย นี้ จึงเป็นชื่อของกาม เพราะสัตวโลกผู้ยินดีด้วยความกำหนัดในกาม ถูกความกำหนัด เพราะความชอบพอเกี่ยวพันไว้ จึงไม่พ้นจากภัยแม้ที่มีในปัจจุบัน ไม่พ้นจากภัยแม้ในสัมปรายภพ ฉะนั้น คำว่าภัยนี้ จึงเป็นชื่อของกาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุไร คำว่า ทุกข์ ... โรค..ฝี..เครื่องขัดข้อง..เปือกตมนี้จึงเป็นชื่อของกาม เพราะสัตว์โลกผู้ยินดีด้วยความกำหนัดในกามนี้ ถูกความ กำหนัดเพราะความชอบพอเกี่ยวพันไว้ จึงไม่พ้นจากเปือกตมแม้ในปัจจุบัน ไม่พ้น จากเปือกตมแม้ในสัมปรายภพ ฉะนั้น คำว่า เปือกตมนี้ จึงเป็นชื่อของกาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ ๔๒๖
ข้อความบางตอนจากอรรถกถาสุภากัมมารธิดาเถรีคาถา
กามทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นอมิตร เพราะไม่มีไมตรี เหตุนำมาแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เกื้อกูล, ชื่อว่าผู้ฆ่า เพราะเป็นเสมือนเพชฌฆาตเงื้อดาบ เหตุเป็นต้นเหตุแห่ง ความตาย, ชื่อว่าเป็นศัตรู เพราะเป็นเสมือนศัตรูผู้ผูกเวร เหตุติดตามนำมาแต่ความ พินาศ, ชื่อว่าเป็นดังลูกศรเสียบไว้ เพราะลูกศรทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเสียบติดไว้. กามทั้งหลาย กระทำให้เป็นบ้า เพราะความเศร้าโศกโดยความพลัดพรากกันเพราะกาม มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา หรือ นำความมัวเมายิ่งขึ้นโดยเพิ่มทวี.
ซึ่ง ความอิ่มด้วยกาม ไม่มีเลย เพราะ ไม่เคยพอ ทำให้ ต้องการมากขึ้นเสมอ และทำให้ทุกข์มากขึ้น แต่ การอิ่มด้วยปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะ ทำให้ละกิเลส ได้ ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ครับ
กามชาดก
[๑๖๔๒] เมื่อยังระลึกถึงกามอยู่ตราบใด ก็ไม่ได้ ความอิ่มด้วยใจตราบนั้น ชนเหล่าใดบริบูรณ์ด้วย ปัญญา มีกายและใจหลีกเว้นจากกามทั้งหลาย เห็น โทษด้วยญาณ ชนเหล่านั้นแลชื่อว่าเป็นผู้อิ่ม.
[๑๖๔๓] บรรดาความอิ่มทั้งหลาย ความอิ่มด้วย ปัญญาประเสริฐ เพราะผู้อิ่มด้วยปัญญานั้น ย่อมไม่ เดือดร้อนด้วยกามทั้งหลาย คนผู้อิ่มด้วยปัญญา ตัณหา ย่อมกระทำให้อยู่ในอำนาจไม่ได้.
ซึ่งหนทางการละกาม ปัญญาขั้นต้น ไม่ใช่การละกาม ความยินดี ติดข้องก่อน แต่เป็นการละ ความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลก่อน ครับ โดยเข้าใจว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
โทษของกาม - เห็นโทษของสักกายทิฏฐิก่อน - บ้านธัมมะ
ส่วนผลของการล่วงศีลข้อ สาม ทำให้เกิดในนรก และ เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เป็นคนมีศัตรูมาก เป็นต้น ครับ นี่คือโทษของการล่วงศีลข้อ สาม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังไม่ได้มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับความยินดีพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ได้อย่างเด็ดขาด บรรลุถึงความเป็น พระอนาคามีบุคคล ความยินดีพอใจในสิ่งเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นมีเป็นธรรมดา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเห็นได้ว่า ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่า กุศลจิต จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ส่วนมากมักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลจิตเกิดมากกว่า, อกุศล เกิดขึ้น ตามการสะสมของจิตในอดีตที่ได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับ ชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะโลภะ ซึ่งเป็นความติดข้องยินพอใจในวัตถุต่างๆ ติดข้อง ยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นวัตถุกาม ในชีวิตประจำวัน โลภะย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็น มูล) เกิด เมื่อมีเหตุมีปัจจัยโลภะก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลัง มากขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่น ให้เดือดร้อน แต่ในขณะที่กระทำอกุศลกรรม กระทำทุจริตกรรมนั้น ตนเองย่อมเดือด ร้อนก่อนคนอื่น เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศล สะสมกิเลสอันเป็นเครื่องแผดเผา จิตใจให้เร่าร้อน และ เมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเอง ประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง ไม่มีใครทำให้เลย กล่าวได้ ว่าเดือดร้อนทั้งในขณะที่กระทำและในขณะที่ให้ผล เนื่องจากว่า อกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น จะให้ผลเป็นสุขไม่ได้เลย
สำหรับบุคคลผู้มีโลภะมากๆ ติดข้องมากๆ ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ ยิ่งติดข้องมาก ขึ้นๆ ส่วน บุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีโลภะติดข้องในกามอยู่ก็ตาม เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมจะ มีความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของโลภะ สามารถค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของโลภะว่าเป็น เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และปัญญา นี้เองเป็นธรรมที่จะดับโลภะได้อย่างเด็ดขาด การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ก็ต้อง อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองพระธรรม ค่อยๆ สะสม ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ ท้อถอย ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
กามชาดก ... วันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕
-การประพฤติผิดในกาม ผิดศีลข้อ ๓ เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้ เป็นผลที่ น่ากลัวมาก แม้จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่อกุศลกรรมที่ได้กระไว้ก็ยังให้ผลได้ ทำให้เป็นผู้มีคนไม่ชอบ เป็นคนมีศัตรูมาก, ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะล่วงศีลเพราะ เพียงแค่เห็นแก่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่คุ้มกันเลยกับความทุกข์ในอบายภูมิ ที่จะได้รับในภายหน้า ควรที่จะไ้ด้คิดถึงประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ที่ได้เกิดมา เป็นมนุษย์ซึ่งได้อย่างยากแสนยาก ว่า ควรที่จะทำอะไร จึงจะเป็นประโยชน์มาก ที่สุด ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากการสะสมความดี และ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อ เข้าใจพระธรรม ความเข้าใจถูกเห็นถูกนี้แหละ ก็จะมีเครื่องนำทางชีวิตที่ดี นำไปสู่ความดีทั้งปวง ทำให้ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ความประพฤติผิดในกาม
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
บางคนติดในกามคุณ 5 ยอมทำชั่ว ทุจริต โกงเขา ปล้นเขา เพื่อ ลูกและครอบครัว เงินที่เขาหาไม่ไ้ด้ ก็ไม่ไ้ด้ใช้ ตายไปก็เกิดในนรก ค่ะ
กามหมายถึงวัตถุกาม..ที่ตั้งของความติดข้องและกิเลสกามหมายถึงความติดข้องในกาม พระอนาคามีไม่ติดข้องในกามแต่ติดข้องในภพ..หมายความว่าพระอนาคามีไม่ติดข้องใน กามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเท่านั้นหรืออย่างไร..และกล่าวว่าพระอนาคามีไม่มี กิเลสกามหรือ..คะ