อยากทราบว่าทำไมเห็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย หรือเพิ่งเจอกัน จึงไม่ชอบหน้าเขา รู้สึกไม่ถูกชะตา ฯลฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะ สภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นอาศัย หลายๆ เหตุ หลายๆ ปัจจัย แม้แต่การเกิดความรู้สึกไม่ชอบ นั่นคือ เกิดสภาพธรรม ที่เป็นโทสมูลจิต ซึ่ง สภาพธรรมที่เป็นโทสะเกิดได้หลายเหตุปัจจัย ซึ่งปัจจัยให้ เกิดโทสะ มีหลายประการครับ
ประการแรก ขณะที่เห็น เห็นอะไรครับ เห็นสภาพธรรมที่เป็น สี ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร การเห็น สีที่ไม่ดี่ เห็นสภาพธรรมที่ปรากฎทางตาที่ไมดี ไม่ประณีต ก็เป็นปัจจัยให้ เกิดโทสะได้ เช่น การเห็นรูปที่ไม่ดี เป็นต้น ประการหนึ่ง
ประการที่สอง เพราะ อาศัย ความทรงจำ สัญญาที่เคยจำในอารมณ์นั้น ที่เคยจำ ด้วยอกุศล คือ เคยไม่ชอบในอารมณ์นั้นมาก่อน พอมาเจออารมณ์ที่คล้ายๆ กัน ย่อม ทำให้เกิดโทสะได้
ประการที่สาม เพราะ อาศัย ความคิดนึกที่เกิดขึ้น คือ อาศัยบัญญัติเรื่องราว ทรง จำไว้ในเรื่องราวที่ไม่ชอบ มาก่อน ในอารมณ์ที่เป็นบัญญัติ ทำให้เกิดโทสะได้ ยกตัวอย่างเช่น เคยไม่ชอบคนนี้ พอเจอคนนี้อีก คือ เจอบุคคลที่ไม่เป็นที่รัก ย่อม เกิดโทสะได้
ประการที่สี่ เพราะอาศัย โลภะ ความติดข้อง ต้องการที่มีมาก เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้อง การ หรือ พลัดพรากสิ่งที่เป็นที่รัก ย่อมทำให้เกิดโทสะได้ ครับ
ประการที่ห้า เพราะ เคยทำความเสียหาย ทำไม่ดีต่อกัน ก็คือ สัญญาจำไว้ในจิต ดวงก่อนๆ ที่เคยเกิดโทสะในอารมณ์เช่นนี้ในอดีต ทำให้เกิดโทสะอีก เมื่อพบประสบ อารมณ์นั้น
แต่จากที่กล่าวมาทั้ง ๕ ข้อ ทั้งหมด มีความละเอียดของปัจจัยต่างๆ มากมาย แต่ ที่ สำคัญ ก็ไม่พ้นจากกิเลสที่สะสมมา คือ ปฏิฆานุสัยที่ยังไม่ได้ดับ ที่เป็นเหตุให้เกิด โทสะ และ มีอวิชชาความไม่รู้ทำให้เกิดกิเลส คือ โทสะ ความไม่ชอบได้ ครับ
ดังนั้น จากที่ผู้ถามได้ถามว่า เพียงเห็นหน้าครั้งแรก ที่เดินผ่านก็ไม่ชอบหน้าเลยเกิด จากเหตุอะไร
- ซึ่งจากที่กระผมได้กล่าวหลายเหตุปัจจัยไปนั้น แสดงให้เห็นว่า ย่อมเป็นไปได้ เพราะ อาศัย การเคยจำลักษณะเช่นนี้ ที่เคยทำให้เกิดโทสะมาก่อนในอดีตที่ผ่านมา ทำให้เมื่อเห็น สิ่งที่ปรากฎทางตา ลักษณะคล้ายๆ กัน จึงเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะ นี่ ประการหนึ่ง และ ประการสำคัญ เพราะ กิเลสของตนเอง ที่ไม่ชอบ ลักษณะหน้าตา สีเช่นนี้ สะสมมาที่จะไม่ชอบแบบนี้ ก็ทำให้เกิดกิเลส ไม่ชอบการแต่งตัวภายนอก หรือ แม้แต่หน้าตาเช่นนี้ ก็เพราะ สะสมมาที่จะไม่ชอบเช่นนี้ ดังเช่น การที่เราชอบ อะไร ต่างคนก็ต่างชอบ ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะสะสมความชอบในอารมณ์นั้น ที่แตกต่างตามลักษณะของอารมณ์ที่มีความวิจิตรแตกต่างกัน บางคนชอบทานไก่ บางคนเห็นเนื้อไก่ก็ไม่ชอบ โดยนัยเดียวกัน แม้แต่การไม่ชอบ แม้เพียงเห็นครั้งแรก ก็ไม่ชอบ ในหน้าคนนี้ เพราะ เคยไม่ชอบลักษณะอารมณ์อย่างนี้มาก่อน สะสมมาที่ จะไม่ชอบลักษณะเช่นนี้ แต่บางคน ที่เห็นคนเดียวกับที่เราไม่ชอบ กลับเฉยๆ หรือ อาจจะรู้สึกชอบคนนั้นก็ได้ แทนที่จะไม่ชอบเหมือนอีกคน นี่แสดงถึงความแตกต่าง ของการสะสม อารมณ์ของการชอบ ไม่ชอบของแต่ะคนที่มีมาแล้วในอดีต ครับ อย่างการกลัวงู ไม่ชอบงู บางคน เพิ่งเห็นครั้งแรกก็กลัวเลย เพราะอะไร เพราะ ลักษณะที่ไม่ประณีตของอารมณ์ประการหนึ่ง และที่ลืมไม่ได้ เพราะ เคยสะสม เคย ไม่ชอบมาก่อนหน้านี้มาแล้ว ไม่รู้ว่าในอดีตกี่ชาติต่อกี่ชาติพอเจอก็กลัว ไม่ชอบเลย แต่บางคนก็ไม่กลัว ไม่ไ้ดมีความไม่ชอบมาก แม้อารมณ์จะไม่ประณีตก็ตาม แต่ เพราะ ไม่ได้สะสมในอดีตชาติทีเกิดโทสะบ่อยๆ ในอารมณ์นั้น ครับ และ สำคัญที่สุด เหตุ ต้นของทั้งหมด คือ กิเลสที่สะสมในจิตใจ ที่ทำให้เกิดความไม่ชอบ แม้เพียงเห็น ครั้งแรก ครับ นี่คือเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ครับ
ดังนั้น สำคัญที่สุด คือ เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว รู้ความจริงว่า คือ อะไร จะเป็นหนทาง การดับกับกิเลส เพราะ สัตว์โลก เมื่อเห็น ก็สำคัญว่า เป็นคนนั้น คนนี้ด้วยความไม่รู้ เพราะ มีความไม่รู้ จึงทำให้เกิดกิเลสประการต่างๆ มีความชอบ และ ไม่ชอบตามมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ให้รู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่กำลังมีในชีวิต ประจำวัน ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เมื่อเข้าใจดังนี้ ย่อมจะสามารถเข้าใจถึงเหตุ ที่เกิดขึ้น ถึงความไม่ชอบ หรือ ความชอบ เพราะ เมื่อรู้ว่า เป็นแต่เพียงธรรม ก็ไม่มีเรา ที่ไม่ชอบ หรือ ชอบ และ ไม่มีใครที่ถูกชอบ หรือ ไม่ชอบ เพราะ เป็นแต่เพียงธรรมที่ เป็น จิต เจตสิกทีเ่กิดขึ้น เป็นไปตามการสะสมของจิต เจตสิกที่เป็นไป แต่ละขณะ เท่านั้น ปัญญาที่เจริญขึ้นเช่นนี้ ย่อมเข้าใจชีวิต ที่เป็นการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก และ ละความเห็นผิด และ ละกิเลสประการต่างๆ ได้ในที่สุด
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นธรรมที่อุปการะสัตว์โลกอย่างยิ่งยวด ไม่มี สิ่งอื่นยิ่งกว่า ควรค่าแก่การสละเวลาที่เหลือน้อยในการสนใจ ใฝ่พระธรรม ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
การไม่ถูกชะตาคนบางคนที่เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ
ถูกชะตา ไม่ถูกชะตา
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชอบไม่รู้จบ ไม่ชอบไม่รู้จบ ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ความจริงเป็นอย่างนี้ กิเลสที่ สะสมมาเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แต่ละคนก็มีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ถ้า ไม่ขัดเกลาไม่ละคลาย ด้วยพระธรรม ก็ยิ่งจะมากไปด้วยกิเลสมากยิ่งขึ้น เคยได้ฟัง ข้อความหนึ่งที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้น่าพิจารณาทีเดียวว่า
"เพียงแค่เห็นหน้าก็ไม่ชอบแล้ว ถ้ายิ่งกว่าเห็นหน้าแล้วจะเป็นอย่างไร" แสดงถึงกิเลส อกุศลธรรมที่สะสมมาอย่างแท้จริง ก็ต้องอาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีใครสามารถขัด เกลาของตนเองได้ นอกจากจะเป็นผู้ฟังพระธรรมแล้วน้อมประพฤติตามพระธรรม สิ่ง ไหนไม่ดี ก็ไม่ควรสะสมให้มีมากขึ้น จากที่โกรธมากๆ แล้วเป็นไม่โกรธได้ สิ่งอื่น ไม่สามารถทำให้เป็นอย่างนี้ได้ แต่ปัญญาทำให้เป็นไปได้ และเป็นไปได้จริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความชอบและไม่ชอบสะสมมาในอดีตชาตินับไม่ถ้วน ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไ้ว้ เช่น พระเทวทัตผูกอาฆาตพระพุทธเจ้าตั้งแต่ในอดีตชาติ เกิดมาเจอทีไรก็ไม่ชอบ และ ทำร้้าย เพราะอกุศลที่สะสมมามีกำลังมาก ค่ะ
ขออนุโมทนา
การที่ได้พบเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบนั้น สาเหตุมาจากผลของกรรมที่เราเคยทำไว้ ไม่ทราบว่าดิฉันเข้าใจถูกหรือไม่ ช่วยกรุณา อธิบายเพิ่มเติมด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
เรียน ความเห็นที่ 6 ครับ
ถูกต้อง ครับ ผลของกรรมที่เกิดขึันในชีวิตประจำวัน คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ซึ่งผลของกรรมที่เป็นวิบาก ก็มีทั้งที่เป็นวิบาก ที่ดีหรือไม่ดี เช่น ขณะที่เห็น รูปที่ดีก็เกิดจากผลของกุศลกรรม แต่หากเห็น สิ่งที่ไม่ดี ก็เป็นผลของอกุศลกรรม ทั้งหู จมูก ลิ้น กาย ก็โดยนัยเดียวกัน ครับ ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ