เราไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้าว่าอะไรจะเกิดแม้แต่ขณะจิตเดียว แล้วทำไมผมตั้งใจจะเดินไปอาบน้ำ หรือกินข้าว ผม ก็ได้ทำตามที่ตั้งใจว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น แต่จริงอยู่บางครั้งก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดไว้ทำให้ไม่เป็นไปตามคาด แล้วแต่วิบากกรรมทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเกิดขึ้น
ขอให้ท่านผู้รู้ ช่วยให้ความกระจ่างด้วย จะเป็นกุศลยิ่งครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรทราบว่าความเป็นจริงมีแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็น จิต เจตสิก รูป และธรรมทั้งหลายก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ดังนั้น เราจะต้องตีความเข้าใจ ความหมายของคำว่า เราไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นเหตุการณ์ข้างหน้า ก็คือจิต เจตสิกแต่ละขณะที่เกิดขึ้น ซึ่ง จิต เจตสิกเกิดขึ้น ดับอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วระยะเวลา ลัดนิ้วมือเดียว ๑ วินาที จิตเกิดดับ แสนโกฎิขณะ คือ เป็นล้านๆ ครั้ง นับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้น เราไม่รุ้เหตุการณ์ข้างหน้า แม้เพียงจิตขณะเดียว เพราะว่า จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เลยว่า จิตอะไรเกิดขึ้น แม้เพียงตั้งใจที่จะเดินไปอาบน้ำ ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้เลยว่าจะคิดว่าจะเดินไปอาบน้ำ และเมื่อคิดตั้งใจเดินอาบน้ำแล้ว จิตอะไรเกิดต่อก็ไม่รู้ เพราะเกิดดับนับขณะไม่ถ้วนเป็นล้านๆ ขณะแล้ว เพียง ชั่วเวลา วินาทีเดียว ดังนั้น ที่คิดว่า จะเดินไปอาบน้ำ แล้วก็เดินไปอาบน้ำ ระยะเวลาระหว่างนั้น จิตเกิดดับแต่ละจิตนับไม่ถ้วนแล้ว และก็ไม่รู้เลยครับว่า จิตอะไรบ้างที่เกิดระหว่างนั้นและก็บังคับให้ไม่เกิดก็ไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจิตอะไรที่เกิดต่อ แสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้าเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้จิตขณะเดียว ดังนั้น ที่เราพูด เราพูดถึงเป็นเหตุการณ์ที่ยาวๆ เช่นจะเดินไปอาบน้ำ และก็ไปอาบได้ แต่ความจริง การพูดถึงความละเอียดของธรรม จะต้องพูดทีละขณะจิต ซึ่งเมื่อพูดทีละขณะจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ก็จะไม่รู้เลยว่าจิตขณะอะไรต่อไปจะเกิดขึ้น ซึ่งต่อไปจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสอะไร ก็ไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องของวิบาก และไม่ใช่เพียงจิตที่เป็นผลของกรรมเท่านั้นที่ไม่รู้ จิตที่เป็นอกุศลจิต กุศลจิตก็ไม่รู้ว่าจิตขณะต่อไป จะเป็นกุศล หรือ อกุศลจิตครับ เห็นไหมครับว่า ถ้าเราแยกเป็นจิตแต่ละขณะ แต่ละประเภทของจิต ก็ไม่รู้เลยว่า จิตประเภทอะไรจะเกิดขึ้นในขณะต่อไป ครับ ธรรมทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา และบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ขณะจิตเดียวด้วยประการฉะนี้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เราไม่รู้อนาคตข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา แต่เราก็รู้ว่าทุกขณะที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นผลของกรรมที่ได้ทำไว้แล้วในอดีต และเราไม่สามารถรู้ได้ว่ากรรมไหนจะให้ผลก่อนทั้งดีและไม่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทแม้ว่าจะเป็นกุศลที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็ยังดีกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับอกุศลทั้งวัน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะของชีวิต มีแต่ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น ไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูปธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมเหล่านั้นไ่ม่ได้เลย บุคคลผู้ที่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง ต้องมีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ว่า ธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างแม้แต่ในขณะต่อไป นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมแล้ว เพราะอะไรจะเกิด ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แม้แต่การได้รับผลของกรรม ก็ดี การคิดที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ดี ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปเพราะหตุปัจจัยเท่านั้น สำคัญที่ความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจธรรม มากขึ้น ความสงสัยก็จะลดน้อยลง มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป การที่ปัญญา จะมีได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ถ้าเราแยกเป็นจิตแต่ละขณะ แต่ละประเภทของจิต ก็ไม่รู้เลยว่า จิตประเภทอะไรจะเกิดขึ้นในขณะต่อไป ครับ ธรรมทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา และบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ขณะจิตเดียวด้วยประการฉะนี้ ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
แท้จริง ตัวคุณอาจจะคิดว่าคุณรู้และตัวคุณเป็นคนกำหนดตารางชีวิต เช่นว่าจะเดิน จะอาบน้ำ จะไปกินข้าว สิ่งที่คุณกล่าวทั้งหมดมันยังไม่ใช่การรู้ที่แท้จริง พูดอย่างนี้คุณอาจจะเถียงอยู่ในใจ ว่าจะไม่รู้ได้ไงก็เรากำลังจะทำโน่นทำนี่ ก็เพราะการรู้ที่คุณกล่าวมาทั้งหมดมันยังเป็น "เราที่รู้" แต่การรู้ที่แท้จริง ขณะที่รู้ย่อมไม่มีเรา เป็นผู้เดิน เป็นผู้อาบน้ำ และถ้าวันใดวันหนึ่งคุณสามารถระลึกรู้ หรือสติปัฏฐานเกิด คุณก็จะหายสงสัยเองว่า ที่ผ่านมาที่ว่า รู้ตัวนั้น มันไม่เคยรู้ตัวเลย ... คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองกำหนดชะตาชีวิต การกระทำ คำพูดในแต่ละขณะ แต่แท้จริงหาใช่เช่นนั้นไม่ เมื่อไหร่ที่ขาดสติ ความคิด การกระทำ คำพูด ย่อมเป็นไปตามการสั่งสมของแต่ละคน ตามแต่เหตุแห่งการณ์กระทบที่ผ่านเข้าทางทวาร ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ มีชีวิตเพื่อการกระทบและเสพอารมณ์เท่านั้น หาได้รู้ตัวไม่ เพราะฉะนั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ก็เพราะท่านไม่สรรเสริญชีวิตที่ขาดสติ นั่นเอง ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านได้ถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ ท่านพิจารณาความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ตอบว่า วันละ ๖ ครั้งพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธองค์ทรงตอบว่า อานนท์ ท่านนั้นยังประมาทอยู่ ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" จะเห็นว่าแท้จริง พรพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่หมดกิเลสแล้ว ทุกขณะนั้นท่านไม่ได้หลงอารมณ์ใดๆ เลย
ขอกราบอนุโมทนาท่านผู้ให้ความกระจ่างครับ
ผมเข้าใจขึ้นมากทีเดียว คงต้องศึกษาต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีคำว่าพอจริงๆ ครับกับการศึกษา