ขอแสดงความเสียใจแด่การจากไปของ
คุณจันทกร อ่ำเสงี่ยม
สหายธรรมของเรา
ขอจงโปรดได้รับรู้และอนุโมทนาในส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว
ของสมาชิกที่เดินทางไปยังสังเวชณียสถานในอินเดีย
และเพื่อนร่วมฟังธรรมที่มูลนิธิและบ้านธัมมะทุกท่าน
ขอให้จิตของท่านสู่สุขติเทอญ
ขอร่วมอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดที่ได้กระทำมาแด่คุณจันทกร อ่ำเสงี่ยม ครับ
ได้ทราบข่าวการจากไปของท่านในวันนี้เอง รู้จักท่านก็เพียงแต่ชื่อบนกระดานสนทนาเท่านั้น ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหมดที่เป็นไปในบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ให้ท่านจันทกร อ่ำเสงี่ยม (caravanboy) ได้ร่วมอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่อง เมื่อเห็นความจริงอย่างนั้น ไม่ควรเศร้าโศก แต่อบรมเจริญกุศลทุกประการเพราะตัวท่านเอง ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 195
ข้อความบางตอนจาก
เทวทูตสูตร
ว่าด้วยเทวทูตที่ ๕ (ความตาย)
[๕๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง เทวทูตที่ ๕ ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏใน หมู่มนุษย์หรือ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า. พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิง หรือชายที่ตายแล้ววันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มี น้ำเหลืองเยิ้มในหมู่มนุษย์หรือ
สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า
พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ขอรำลึกนึกถึงด้วยการให้พระธรรมกับพี่ครับได้คุยสนทนาธรรมกับพี่จันทกร (caravanboy) ที่มูลนิธิ ผมยังจำได้ดี ในเรื่องสติปัฏฐานจึงอยากจะนำข้อความที่สนทนากันมาอธิบายให้สหายธรรมเข้าใจกัน พี่ถามว่า สติปัฏฐานคือ ขณะที่รู้ว่าเป็นธรรมใช่ไหม เมื่อโกรธเกิดขึ้นตอบว่า การรู้ว่าเป็นธรรมนั้นโดยการคิดนึกก็ได้หรือเป็นสติปัฏฐานก็ได้ ข้อแตกต่างคือ
ถ้าเป็นสติปัฏฐานเมื่อความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่คิดต่อว่า โกรธเป็นธรรมนะ นั่นเป็นสติขั้นคิดนึก ถามว่าเป็นกุศลและคิดถูกไหมและมีสติหรือเปล่า คิดถูกครับ มีสติแต่ไม่ใช่สติปัฏฐานเพราะก็ยังเป็นเราที่ไปรู้ แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐานแล้ว ขณะที่ความโกรธเกิดขึ้น เมื่อสติปัฏฐานเกิดย่อมรู้ในขณะนั้นและรู้ลักษณะว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง โดยไม่คิดนึก ยังไม่ใช่รู้ว่าเป็นโกรธแต่ปัญญาขั้นต้นรู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ที่สำคัญสติปัฏฐานเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้นะ
หากพี่มีจิตหยั่งรู้ก็ขอให้มั่นคงในหนทางนี้ ระลึกสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ความเข้าใจไม่ได้หายไปไหน แม้เปลี่ยนภพชาติไปแล้ว ก็เป็นเพียงจิตที่สืบต่อกันเท่านั้น หากแต่ว่าเมื่อเริ่มเข้าใจถูกในหนทาง สักวันเราก็จะพ้นจากความไม่รู้อันเป็นเหตุที่ทำให้เราจะต้องเกิดต้องตายครับ ขออนุโมทนาที่ได้เป็นเพื่อนในพระธรรมครับ
ขอมอบธรรมเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้
[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ 72
ทสรถชาดก
ว่าด้วยผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว
[๑๕๖๔] มานี่แน่ะ เจ้าลักขณ์และนางสีดาทั้งสองจงมาลงน้ำ พระภรตนี้กล่าวอย่างนี้ว่าพระเจ้าทสรถสวรรคตเสียแล้ว.
[๑๕๖๕] พี่ราม ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำพี่ เพราะได้ทรงสดับว่าพระราชบิดาสวรรคตเล่า
[๑๕๖๖] คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิต ที่คนเป็นอันมากพร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนให้ เดือดร้อนเพื่ออะไรกัน
[๑๕๖๗] ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งคนมั่งมีทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งนั้น
[๑๕๖๘] ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลง เป็นแน่ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะตายเป็นแน่ ฉันนั้น
[๑๕๖๙] เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเย็นบางคนไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเช้าบางคนไม่เห็นกัน
[๑๕๗๐] ถ้าผู้ที่คร่ำครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่ จะพึงได้รับประโยชน์สักเล็กน้อยไซร้ บัณฑิตผู้มีปรีชา ก็จะพึงทำเช่นนั้นบ้าง
[๑๕๗๑] ผู้เบียดเบียนตนเองตนอยู่ ย่อมซูบผอมปราศจากผิวพรรณ สัตว์ผู้ละไปแล้วไม่ได้ช่วยคุ้มครองรักษา ด้วยการร่ำไห้นั้นเลย การร่ำไห้ไร้ประโยชน์
[๑๕๗๒] คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำ ฉันใด คนผู้เป็นนักปราชญ์ได้รับการศึกษามาดีมีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงรีบกำจัดความโศกที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่นฉันนั้น
[๑๕๗๓] คนๆ เดียวนั้นตายไป คนเดียวเท่านั้น เกิดในตระกูล ส่วนการคบหากันของสรรพสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง
[๑๕๗๔] เพราะเหตุนั้นแล ความเศร้าโศกแม้จะมากมายก็ไม่ทำจิตใจของนักปราชญ์ ผู้เป็นพหูสูต มองเห็นโลกนี้และโลกหน้า รู้ทั่วถึงธรรมให้เร่าร้อนได้.
[๑๕๗๕] เราจักให้ยศและโภคสมบัติ แก่ผู้ที่ควรจะได้ จักทะนุบำรุงภรรยา ญาติทั้งหลายและคนที่เหลือนี้เป็นกิจของบัณฑิตผู้ปรีชา
[๑๕๗๖] พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหาใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปี
จบทสรถชาดกที่ ๗
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กระผมขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วนั้นให้ท่านจันทกร (caravanboy) ได้อนุโมทนาด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
วันหนึ่งข้างหน้า ภาพของเราหรือท่านก็จะคงจะอยู่บนเว็บนี้เช่นกัน... ความจริงที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไม่มีใครที่สามารถจะหนีพ้นไปได้ เราอยู่กับความตายทุกขณะ แต่ก็ยังไม่ได้รู้ความจริงตรงนั้น ขอให้คุณ caravanboy ได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในทุกๆ ชาติค่ะ
ขอธรรมมะที่ท่านรักษาไว้ดีแล้ว จงนำท่านไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ
ขออนุโมทนาบุญกุศลของทุกๆ ท่านค่ะ
กิตติ
การสนทนาแม้ในเรื่องการจากไปของสหายธรรม เป็นการเตือนให้สติเกิดเพื่อระลึกถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ไม่ควรประมาท ขอนุโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน และ ขออุทิศส่วนกุศลที่ดิฉันได้กระทำแล้วให้ท่านจันทกรได้อนุโมทนาด้วยค่ะ
ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้กระทำแล้วในวันนี้ให้คุณจันทกร อ่ำเสงี่ยมขอบพระคุณทุกท่านในความคิดเห็น และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่าน