เคยได้ยินมาว่า คนเราทุกคนล้วนมีวิบากกรรมที่มาจากกรรมในอดีต เราสามารถใช้ดวงดาวเพื่อดูวิบากกรรมเหล่านั้นได้บ้างตามหลักโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นการทายอนาคตจากกรรมเก่าที่ได้กระทำไว้แล้ว และเราสามารถแก้ไขอนาคตนั้นได้ด้วยกรรมใหม่ ทั้งเจตนา การกระทำ การสร้างเหตุที่ตรงกันข้ามกับวิบากกรรมนั้นๆ และการสร้างบุญ เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าที่ได้ดูดวงไว้
แต่ถ้าหากเราไปดูดวงด้วยศาสตร์อื่น ที่ไม่ใช่เรื่องของโหราศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของญาณต่างๆ เช่น ญาณสมาธิ, ญาณครู, วิปัสนาญาณ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การดูจากตัวเลข หรือดวงดาว เพราะอาจะดูด้วยชื่อ ดูด้วยเสียง ดูด้วยจิต หรือแม้กระทั่งดูด้วยรูปภาพ เป็นศาสตร์การดูที่ยากจะหาคำอธิบายให้เข้าใจได้ ดังนั้นแล้วหากเราได้ไปดูดวงด้วยศาสตร์เหล่านี้ เรายังสามารถแก้ไขอนาคตให้ดีกว่าตอนที่ได้ดูดวงไว้ เหมือนการดูดวงด้วยศาสตร์อื่นๆ ได้อยู่ไหมคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่าน อ.สุจินต์ วันนี้ยังไม่มีใครมีทุกข์ที่จะต้องสะเดาะเคราะห์ใช่ไหม แต่กุศลจิตก็เกิดได้ ทำไมเราจะไปทำบุญตอนที่เรามีเคราะห์กรรม และก็หวังว่าบุญนั้นจะทำให้เคราะห์กรรมอันนั้นหมดไป แม้ในขณะนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่กุศลจิตเกิดก็เป็นกุศลที่เราจะกระทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางวัตถุต่างๆ บ้าง ก็กระทำได้ ไม่ต้องไปคิดว่าพอมีเคราะห์กรรมแล้วจะต้องไปสะเดาะหรือว่าจะไปทำบุญเพราะอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วถ้ากรรมที่ได้ทำมามากมายมหาศาล แล้วเราก็ไปปล่อยนก ๗ ตัว แค่นั้นพ้นไหมจากกรรมที่ได้กระทำไว้มากมาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในเรื่องกรรมและผลของกรรม กุศลจิตย่อมเกิดมากไม่หวั่นไหว แม้ว่าจะได้ลาภหรือว่าเสื่อมลาภก็ตามแต่ไม่ใช่พอได้ลาภก็ไม่ต้องสะเดาะ ไม่ต้องทำกุศล หรือว่าพอมีเคราะห์ก็ต้องไปสะเดาะหรือว่าทำกุศล อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริง เพราะเหตุว่าเราไปคิดว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะทำให้ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วหมดไปได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงเวลาที่เราบอกว่าผู้ที่มั่นคงในกรรมและผลของกรรมต้องไม่ใช่เพียงเรื่องราว ต้องสามารถที่จะรู้ถึงเหตุที่จะให้เกิดวิบากคือกรรม แล้วก็กุศลจิตและอกุศลจิตด้วย
เป็นธรรมดาของสัตว์โลกจริงๆ สะสมมาแตกต่างกัน มีความประพฤติแตกต่างกันตามกาลสะสม บุคคลผู้ที่ขาดปัญญาและไม่มีที่พึ่งที่แท้จริง ย่อมแสวงหาที่พึ่งที่แตกต่างกันตามความเชื่อถือ ซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญาเลย เราจึงเห็นพฤติกรรมของคนมากมายที่กระทำต่างๆ นานา เป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ อย่างเช่น เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ ก็ไปหาหมอดู ดังที่ปรากฏในประเด็นคำถาม คนดูก็ไม่รู้ คนที่ไปให้เขาดู ก็ไม่รู้ ต่างฝ่ายต่างๆ ไม่รู้ มีแต่จะเพิ่มพูนอกุศลให้มีมากขึ้น ขณะที่เป็นไปกับด้วยอกุศล ไม่มีคุณเลยแม้แต่น้อย ส่วนผู้ที่มีปัญญา ท่านไม่พึ่งหมอดู เพราะท่านได้ที่พึ่งอันประเสริฐ คือ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เข้าใจในเหตุในผลตามความเป็นจริง เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ไม่น่าชอบใจ ก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครทำให้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เกิดเพราะอดีตอกุศลกรรมที่ตนเองได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล จึงไม่โทษใคร และยังจะเป็นอนุสสติข้อเตือนใจให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตต่อไป
และที่น่าพิจารณา คือ ใครๆ ก็ไม่สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ นอกจากเราจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการสะสมสิ่งที่ดีคือ กุศล ต่อไป เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง พึ่งให้พ้นจากอกุศล พึ่งให้พ้นจากอบายภูมิ พึ่งให้พ้นจากการได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยไม่ขาดการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ ซึ่ง การดูดวง ด้วยการเข้าใจผิด ก็เป็นการขัดหลักกับเรื่องกรรมและผลของกรรม ที่ไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณค่ะ ขออนุโมทนาด้วยนะคะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะต่อไป ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะได้รับผลของกรรมจะมาในลักษณะใดบ้าง เป็นต้น เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บุคคลผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็จะไม่ไปพึ่งอย่างอื่นเลย เราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งที่ไม่ดีก็เคยทำมามากแต่ก็จำไม่ได้ แม้ในชาตินี้ ก็คงต้องเคยทำสิ่งที่ไม่ดีมาบ้าง แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ขณะนี้ก็สามารถเริ่มต้นใหม่ ด้วยความมั่นคงในคุณความดี และเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะคอยประคับประคองชีวิตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร ไม่ทำในสิ่งที่ผิด ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ