ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๑
~ ไม่ละเลยความดี เพราะรู้ว่าอกุศลไม่สามารถทำให้รู้ความจริงได้เลย
~ หนทางเดียวกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ อบรมเจริญปัญญา
~ สละวัตถุสิ่งของให้ทาน สละความโกรธความขุ่นเคืองใจในผู้อื่น มีความอดทนทุกอย่างที่จะบำเพ็ญความดีทุกอย่าง นี้แหละ เป็นการเติมความดีอยู่เรื่อยๆ
~ ทุกคนที่เกิดมาแล้ว สำคัญไหมในสิ่งที่เห็น อยากได้ ติดข้อง ยากแสนยากที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีชั่วคราว แล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง
~ ต้องฟังพระธรรม ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ยากแสนยากที่จะรู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ขาดการฟังพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เลย
~ ขณะที่ติดข้องต้องการ ไม่ใช่การละ ไม่สามารถทำให้เข้าใจความจริงได้เลยเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดปรากฏ จึงมีความติดข้องยินดีพอใจที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ก็เพราะยังมีความไม่รู้อยู่ จะดับการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมได้ ก็คือ ดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยประการทั้งปวง
~ ฟังพระธรรมบ่อยๆ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ
~ เกิดมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ ธาตุรู้ (จิต กับ เจตสิก) ไม่ใช่เรา ธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ (รูปธรรม) ก็ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธาตุแต่ละธาตุ เท่านั้น จริงๆ
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไปไหน? ก็ไปทางที่ไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นมานานแสนนาน แต่เมื่อเริ่มมีความเข้าใจถูก ก็จะเป็นเหตุให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปได้
~ ทุกคนเสมอกัน มีตาด้วยกัน และก็เห็นเหมือนกัน แต่ใจต่างกัน เพราะฉะนั้น สำคัญที่ใจ คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล แต่ใจเดือดร้อน ทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกิเลส
~ ถ้าสามารถจะรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเกิดได้จริงๆ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนไม่อยากจะมีความทุกข์ แต่เลือกไม่ได้
~ ให้ทราบว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย สำหรับรู้สิ่งที่ปรากฏ แต่การสะสมที่มีอยู่ในใจ แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็เป็นไปตามอกุศลที่ได้สะสมมา แต่ถ้าเริ่มมีความเข้าใจธรรม ความเข้าใจธรรมก็จะเข้าใจในขณะนั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้
~ ถ้าหากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็ต้องเป็นสุขมากกว่าคนที่อยากจะเห็น อยากจะได้ยิน แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวั่นไหวด้วยความทุกข์ด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ
~ บุคคลผู้ที่รักษาศีลจนเป็นอุปนิสัย ผู้นั้นก็จะมีกาย วาจาที่สะอาด ไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเลย ถึงแม้ว่าการให้ทานของบุคคลประเภทนี้จะมีน้อยกว่าบุคคลผู้มีอัธยาศัยในการให้ทานก็ตาม
~ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงว่า ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ก็ตาม ถ้าเป็นคนพาล เมื่อกระทำกรรมอันชั่วช้า เป็นทุจริตประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ย่อมร่าเริงยินดีในการกระทำ อุปมาเหมือนกับบุคคลผู้เคี้ยวกินของหวาน มีน้ำผึ้ง น้ำตาล เป็นต้น จึงเป็นผู้มีความสำคัญผิดว่า บาปกรรมนั้น น่าใคร่ น่าพอใจ (ยังไม่รู้สึกว่าบาปมีโทษ) ต่อเมื่อใดก็ตามที่บาปกรรมที่เขาทำนั้นได้ให้ผล เมื่อนั้นคนพาล ย่อมเป็นผู้ประสบทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรมชั่วที่ตนเองได้กระทำแล้วเท่านั้น ไม่มีใครทำให้เลย
~ การกระทำทุกอย่างของแต่ละบุคคลที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน จะต้องมีเหตุทั้งนั้น และเหตุของการกระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดล้วนเกิดจากกิเลส ถ้าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ตราบนั้นก็ยังมีเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีได้ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังหรือระดับของกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา
~ ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมอยู่เป็นประจำบ่อยๆ เนืองๆ จิตใจย่อมน้อมไปในทางกุศลได้ ซึ่งเป็นการปรุงแต่งของธรรมฝ่ายดี โดยที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
~ กิเลสทั้งหลาย มี ความไม่รู้เป็นต้น ไม่สามารถจะช่วยใครได้เลย
~ เกิดมาแล้วมีภัยมาก โดยเฉพาะภัยภายใน คือ กิเลส
~ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จะต้องเริ่มเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้นว่ามีธรรม แต่ไม่เข้าใจ จึงศึกษา
~ ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ ใครที่ทำอะไรเดี๋ยวนี้ก็เพราะฉันทะความพอใจ พอใจที่จะศึกษาพระธรรม พอใจที่จะไปเที่ยว เป็นต้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา
~ ฟังพระธรรมตลอดชาตินี้ ก็เพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ปัญญาขั้นต่อไปก็มีไม่ได้
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรเคารพอย่างยิ่ง คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้
~ เดี๋ยวนี้ มีธรรม เดี๋ยวนี้ เป็นธรรม ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมีจริงๆ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง สบายใจมีจริง เป็นต้น
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะได้ฟัง เป็นคำที่พระองค์ไม่ได้ตรัสให้เชื่อ แต่ให้พิสูจน์ ให้ไตร่ตรอง ให้เข้าใจแต่ละคำ
~ ควรที่จะได้เข้าใจในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่?
~ ทุกคนเกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน เร็วหรือช้า วันนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้ จะเอาอะไรติดตามไป? เอาความไม่รู้ตลอดชีวิตซึ่งไม่เคยรู้ติดตามไป หรือว่า มีสิ่งซึ่งเมื่อเกิดมาแล้วยังได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี
ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่อดทน
~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไรที่เป็นของของเรา เพราะเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย
~ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมแล้วจะเป็นเราได้ไหม เป็นคนโน้นคนนี้ได้ไหม? ไม่ได้เลย
~ ความไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ เพราะว่าไม่มีแล้วก็เกิดมี แล้วก็ไม่มี จะน่าพอใจได้อย่างไร ใครจะไปหยุดยั้งให้มีต่อไปก็ไม่ได้ เพราะว่าเกิดแล้ว จากไม่มีก็มีแล้วก็หามีไม่ ทุกขณะ
~ อย่างน้อยเกิดมาแล้ว ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเข้าใจก่อนอื่นเลยว่า ธรรมคืออะไร (ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ) ถ้าไม่ฟังคำนี้ให้เข้าใจก่อน จะฟังอย่างอื่นต่อไป ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้
~ ความเห็นถูก ก็ต้องเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องมีการเริ่มต้น
~ พึ่งพระธรรมได้ โดยการฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ พ้นจากทุกข์
~ ทุกขณะ ไม่มีอะไรยั่งยืนเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย
~ ชาวพุทธไม่ใช่ผู้ไม่รู้ แต่เป็นผู้รู้ รู้อะไร? รู้ในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
~ ถ้าเขามาถามเราว่า คุณเป็นชาวพุทธ แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร?ตอบเขาไม่ได้ แล้วเราเป็นชาวพุทธหรือเปล่า?
~ เกิดมาแล้วสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ได้เข้าใจธรรม จะจากโลกนี้ไป จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปด้วยไม่ได้ เพื่อนฝูงก็เอาไปไม่ได้ ครอบครัวก็เอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็เอาไปไม่ได้ แม้ร่างกายที่กำลังนั่งอยู่ที่คิดว่าเป็นเรา ก็เอาไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่เอาไปได้ คือ การสะสมในจิตแต่ละขณะ ที่ดี ชั่ว ไม่ได้หายไปไหนเลย
~ ปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูก จะนำไปสู่ความเข้าใจยิ่งขึ้น แล้วจะได้เข้าใจและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เมื่อนั้นก็เป็นชาวพุทธ
~ ถ้าวันนี้ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาให้เจริญขึ้น
~ ความไม่รู้ ทำให้มีการหลงผิดมากมาย
~ จิตเป็นสภาพรู้ เกิดประกอบกับเจตสิก (ธรรมที่เกิดกับจิต) ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต แต่ถ้ามีอกุศลเจตสิกเกิดกับจิต จิตนั้น ก็เป็นอกุศลจิต ไม่มีเราเลย
~ รูป เป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ รูปทุกประเภท เป็นอัพยากตธรรม (ธรรมที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและไม่ใช่ทั้งอกุศล)
~ โกรธ เป็นสังขารขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรุงแต่งจิต) ปรุงแต่งไหม? จากปกติ พอโกรธขึ้นมาปรุงแต่งไหม? สีหน้า คำพูด วาจาตั้งแต่ไม่น่าจะพูดเลย จนกระทั่งถึงการประทุษร้ายกันได้ นี่ก็เพราะสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง
~ ความเข้าใจถูกเห็นถูกมาจากไหน? มาจากมรดกที่ได้รับจากคำสอนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์ (คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก)
~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ , ที่ว่า คนเกิด สัตว์เกิด นั้น อะไรเกิด? ธรรมเกิด แล้วธรรมอะไรเกิด ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิด นั่นเอง
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่า บุญคือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และขัดเกลากิเลสของตนเอง ก็ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่บุญ แต่หลงเข้าใจว่าเป็นบุญ
~ ไม่โกรธ เป็นบุญไหม? แค่นี้ก็ต้องรู้ว่า บุญคือขณะที่จิตไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก นั่นเอง
~ ไม่โกรธใครก็เป็นบุญ ไม่ริษยาใครก็เป็นบุญ ไม่กลั่นแกล้งใครก็เป็นบุญ อภัยให้ใครก็เป็นบุญ
~ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีกว่าจะมีแต่ละคำให้เราได้เข้าใจ เพื่อตัวเราที่จะไม่เป็นอกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงสารพัดอย่างตั้งแต่เล็กน้อยที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด (การฟังพระธรรม) ก็เป็นบุญ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ความดี ถ้าเข้าใจ เมื่อไหร่ก็เกิดได้ คิดดีกับคนอื่นได้ไหม? แค่นั้นก็เป็นบุญ ไม่ใช่คิดร้ายกับคนอื่น
~ พูดดี เป็นบุญไหม? จากเคยนิสัยที่พูดไม่ดี พอเห็นโทษของการพูดไม่ดี (ขณะที่พูดไม่ดี เป็นอกุศล ซึ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย) ขณะที่ไม่พูดคำที่ไม่ดี ก็เป็นบุญ
~ บุญไม่ยากเลย ไม่ต้องไปหาเงินทองอะไรมาก็สามารถที่จะทำได้ โดยเฉพาะความเข้าใจธรรม ยากที่จะเข้าใจ แต่ประโยชน์มหาศาล.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม... ครั้งที่ ๓๓๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยและกราบอนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าหากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็ต้องเป็นสุขมากกว่าคนที่อยากจะเห็น อยากจะได้ยิน แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวั่นไหวด้วยความ้อมกราบด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ