ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปีติไหมที่ได้เข้าใจความจริง"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔
~ ต้องไม่ลืม ว่า ความไม่รู้มากแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้ว ไม่รู้เหมือนชาตินี้ทั้งหมด แล้วถ้าชาตินี้ไม่รู้เหมือนอย่างนี้เลย แล้วต่อไปก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีเลยในสังสารวัฏฏ์ จริงๆ แล้ว รู้สึกปีติ (เอิบอิ่มใจ) ที่ได้รู้ความจริง
~ ความมืดของโลก มีมานานในสังสารวัฏฏ์ เริ่มเปิดเผย (ความสว่าง) ที่พุทธคยา เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วเป็นครั้งแรก เป็นสมัยที่ประเสริฐที่สุด ใช้คำว่า “อภิสมย - (อภิสมัย) ” สมัยที่ประเสริฐที่สุด ที่โลกที่มืดได้มีแสงสว่างเกิดขึ้นทำให้เข้าใจสิ่งที่มีในสังสารวัฏฏ์ ปีติไหมที่แสงสว่างเกิดแล้วสำหรับคนที่ได้ฟังธรรมในครั้งนั้น
~ กาลเวลาผ่านไป ความไม่รู้ เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่มขึ้น โลกก็มืดอีก แต่เดี๋ยวนี้มีโอกาสได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
~ ความจริง ลึกซึ้ง ละเอียด ยากไหม? เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ไม่เข้าใจธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าทุกคำของพระองค์เป็นความจริงที่ลึกซึ้งที่สุด ฟังคำของพระองค์แล้วต้องไตร่ตรอง พอเข้าใจแล้วก็ปีติที่มีโอกาสได้เข้าใจความจริงแม้เพียงเล็กน้อย
~ เป็นความจริงที่สุดว่า ธรรม ละเอียดลึกซึ้งและยากที่สุด ยากที่สุดแต่เริ่มที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น มีความปีติที่เกิดมามีโอกาสได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงให้เราได้ฟังและเข้าใจ
~ คนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลยคิดว่าเขารู้ทุกอย่าง แต่พอได้ฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้แล้วเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่รู้อะไรเลยที่กำลังปรากฏ
~ เคารพต่อความจริงซึ่งลึกซึ้ง ต้องฟังด้วยการไตร่ตรองทีละคำ จนกระทั่งเป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ
~ ความจริงเป็นความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้ ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้น เคารพต่อความจริงของสิ่งนั้น คือ ฟัง ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ไม่เปลี่ยนความจริงของสิ่งนั้น ไม่พูดผิด
~ ไม่ใช่ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้เลยแล้วนับถือ คนในสมัยโน้นได้ยินคำว่ามีผู้ตรัสรู้ ก็ไปเฝ้า เมื่อฟังธรรมแล้วจึงนับถือในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจเลย บอกว่านับถือ ถูกไหม?
~ สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็มี แต่ยากและลึกซึ้ง จึงต้องค่อยๆ เป็นความเข้าใจของตัวเอง เมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง ถ้าไม่เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ไหมว่าไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้น
~ เรามาสนทนากัน เพื่อให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรที่เราไม่รู้เลย ใครๆ ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เขาจะรู้ว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้นที่เป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้น ต้องตรงต่อความจริงว่าก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้
~ ปัจจุบัน หมายถึง เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม? ปัจจุบัน หมายถึง เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงได้ยินคำว่าปัจจุบัน ทุกคนก็รู้ว่าหมายถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อกี้นี้เลย ใช่ไหม? เมื่อกี้นี้ ไม่มีแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย
~ ใครเปลี่ยนไม่ให้เดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่หมดได้ นี่คือ สัจจธรรม ใช่ไหม? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงนี้ ใช่ไหม? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้อย่างนี้ จะสอนอย่างนี้ได้ไหม และสอนหนทางที่จะรู้ความจริงนี้ด้วย ใช่ไหม? ถ้าไม่เริ่มเข้าใจความจริง สามารถจะรู้ได้ไหมว่า อะไรมีจริง และอะไรเป็นสัจจะ ความจริง
~ เดี๋ยวนี้ เห็นจริง เกิดแล้วก็หมดไป ขณะที่ไม่รู้ ขณะนั้น มีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่าโมหะหรืออวิชชา เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่รู้ เป็นปัจจุบันหนึ่งขณะ หมดไป จึงมีคำว่าอนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ควรยินดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ควรยินดี ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี จึงเป็นทุกข์ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร (อนัตตา) ทุกอย่างที่เกิด เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรม จะไม่มีผู้รู้เลย จะไม่มีท่านพระสารีบุตร จะไม่มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ ไม่มีพระอริยบุคคลเลย
~ ถ้าเข้าใจความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ จะเข้าใจทุกคำในพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้จำแล้วตอบ แต่ให้สามารถรู้ว่าทุกคำแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ เดี๋ยวนี้ มีอะไร? ความเข้าใจขึ้น จะทำให้ตอบตรงขึ้น เดี๋ยวนี้มีอะไร? เดี๋ยวนี้ มีเห็น ถูกต้อง เปลี่ยนได้ไหม? นี่คือธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เป็นอภิธรรมลึกซึ้งเพราะไม่มีใครรู้ว่าเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครเลย
~ ปีติไหมที่ได้รู้ความจริงว่าขณะนี้เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริง เกิด เป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมนั้น เป็นธรรมนั้น เปลี่ยนไม่ได้
~ ตราบใดที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ นั่นคือ การศึกษาธรรมจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นเป็นธรรม
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังอยู่ ให้เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ เป็นอย่างไร ตรัสรู้อย่างไร พระปัญญามากมายมหาศาลอย่างไร เมื่อเข้าใจธรรมเพียงเท่านี้ปีติไหมจากการที่ไม่เคยรู้ความจริงของเดี๋ยวนี้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม เข้าใจในความลึกซึ้งในความละเอียด เคารพในความจริง และปีติที่มีโอกาสที่จะได้ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย
~ ต้องเป็นคนตรงที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย แต่มีธรรมเท่านั้นที่ละเอียดหลากหลายต่างกันมาก และเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ ความเข้าใจจะค่อยๆ สะสมสืบต่อจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้
~ การศึกษาชื่อเรื่องราวทั้งหมด ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ว่า ทุกคำเพื่อให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้
~ ไม่รู้ความจริงมานานมากๆ แล้ว กว่าจะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมได้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ฟัง กำลังเริ่มที่จะสะสมเหตุที่จะให้รู้อย่างนั้น จึงเกิดความปีติว่า ได้มีความเข้าใจความจริงที่ไม่ผิดและรู้ค่าสูงสุดของปัญญาหรือความเข้าใจความจริง ว่า สามารถเกิดได้ ค่อยๆ เจริญได้ ค่อยๆ รู้ความจริงได้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ได้
~ วันนี้ เมื่อได้เข้าใจขึ้น ปีติไหม และเมื่อสามารถทำให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยแม้เพียงเล็กน้อย ปีติไหม จากการที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการที่เขาค่อยๆ เริ่มรู้ขึ้น ต้องอดทนนานไหม จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยและเขาสามารถเข้าใจขึ้นจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราซึ่งช่วยให้เขาได้มีโอกาสได้ฟังและไตร่ตรองจนเขาเข้าใจ ปีติด้วยไหม จากการที่เขาไม่เคยรู้เลยแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นต้องอดทนไหมกว่าเขาจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความจริงของขันติบารมี ต้องอดทนที่จะฟังธรรมให้เข้าใจ ต้องอดทนที่จะไม่โกรธคนที่เขาไม่รู้และทำสิ่งที่ไม่ดี ต้องอาศัยคุณความดีมาก จึงทำให้ค่อยๆ เข้าใจธรรมมากขึ้น เพราะอกุศลไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมได้เลย
~ ต้องมีความตรงต่อความจริง ไม่ผิดจากความจริงเลย จึงเป็นสัจจ
บารมี
~ อดทนที่จะไม่โกรธ อดทนที่จะไม่รัก อดทนที่จะไม่เป็นอกุศลต่างๆ แต่ทั้งหมดถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้
~ ในขณะใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ยังไม่ใช่กาลเวลาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เบิกบานที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เสียใจว่าช้าเหลือเกิน นานเหลือเกิน นั่นคือ ความไม่รู้ความจริง ดูตัวอย่างของพระอริยสาวกในพระไตรปิฎกได้ ทุกท่านก่อนจะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่ละชาติเป็นอย่างไร เป็นปกติธรรมดา แต่มีการอบรมเจริญปัญญาทุกชาติ
~ ข้อสำคัญที่สุด ต้องตรงต่อความจริง มิฉะนั้น ก็จะไม่ได้รู้จักความจริง
~ ถ้าขาดปัญญา จะไม่เป็นบารมีสักบารมีเดียว
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนากับคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
ขอบพระคุณมากค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ในทุกคำที่ท่านกล่าวด้วยความเมตตากรุณากับผู้ที่ยังไม่รู้ความจริงเช่นเรา ให้ได้อดทนที่จะเคารพในการศึกษาพระธรรมที่แสนยาก ลึกซึ้ง และเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ให้โลกได้สว่างเมื่อเข้าใจความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
กราบยินดีในกุศลคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านที่จะสืบทอดคำจริงของพระพุทธองค์ให้ผู้อื่นในแดนพุทธภูมิได้รู้ต่อๆ ไป
กราบขอบพระคุณกุศล อ.คำปั่นด้วยความเคารพด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิตค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ และอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ