[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 426
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๙
๑๐. สามิทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสามิทัตตเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 426
๑๐. สามิทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสามิทัตตเถระ
[๒๒๗] ได้ยินว่า พระสามิทัตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญจขันธ์ เรากำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
จบวรรคที่ ๙
อรรถกถาสามิทัตตเถรคาถา
คาถาของท่านพระสามิทัตตเถระเริ่มต้นว่า ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว กระทำฉัตรเป็นชั้นๆ ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย ไว้ที่สถูปของพระองค์ ได้ทำการบูชาแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า สามิทัตตะ.
เขาถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ ฟัง (ข่าวเรื่อง) อานุภาพของพระพุทธเจ้าแล้ว ไปสู่วิหารพร้อมด้วยอุบาสกทั้งหลาย เห็นพระศาสดากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 427
พระศาสดาทรงตรวจดูอัธยาศัยของเขาแล้ว ทรงแสดงธรรมอนุโลม ตามอัธยาศัย อันเป็นเหตุให้เขาได้ศรัทธา และความสลดใจในสงสาร เขาได้มีศรัทธาจิต เกิดความสังเวชแล้ว บวช อยู่อย่างคนเกียจคร้านตลอดเวลาเล็กน้อย เพราะญาณยังไม่แก่กล้า เป็นผู้อันพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่งเร้าให้อาจหาญอีก จึงเรียนกรรมฐาน หมั่นขวนขวายในกรรมฐาน บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน อปทานว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า อัตถทัสสี ผู้สูงสุดกว่านระ ปรินิพพานแล้ว เราให้ช่าง ทำฉัตรเป็นชั้นๆ บูชาไว้ที่พระสถูป ได้มานมัสการ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ตามกาลอันสมควร ให้ทำหลังคาดอกไม้บูชาไว้ที่ฉัตร ตลอดเวลา ๑,๗๐๐ กัป เราได้เสวยเทวราชสมบัติ ไม่ต้องไปสู่ความเป็นมนุษย์เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นแล้ว ตัดบ่วงได้แล้ว จึงอยู่อย่างผู้หาอาสวะมิได้ ดุจนาคผู้พ้นจากบ่วงฉะนั้น การที่เราได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ นับว่าเป็นการมาที่ดีหนอ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ครั้นในเวลาต่อมา ท่านถูกภิกษุทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านได้บรรลุอุตริมนุสธรรมแล้วหรือ? เมื่อจะประกาศความที่พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมของตน แก่ภิกษุเหล่านั้น จึงได้กล่าวโดยเป็นการพยากรณ์พระอรหัตตผลว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 428
เบญจขันธ์เรากำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ความว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันเรากำหนดแล้ว คือ รู้แล้ว แจ้งแล้ว ได้แก่ แทงตลอดแล้วด้วยปริญญา ๓ คือ รู้ว่านี้ทุกข์ ทุกข์มีเท่านี้ ไม่มีทุกข์ยิ่งไปกว่านี้ ดังนี้. บทว่า ติฏฺนฺติ ฉินฺนมูลา ความว่า บัดนี้ เบญจขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่า มีรากอันเราตัดขาดแล้ว ตั้งอยู่จนถึงความดับแห่งจิตดวงสุดท้าย เพราะเบญจขันธ์เหล่านั้น เรากำหนดรู้แล้วด้วยอาการอย่างนั้นนั่นแหละ (และ) เพราะสมุทัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราละได้แล้วโดยประการทั้งปวง. ส่วนเบญจขันธ์ที่หาปฏิสนธิมิได้ ย่อมดับไปด้วยการดับสนิทแห่งจิตดวงหลัง ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ดังนี้. ความของคาถานั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังทั้งหมดแล้วทีเดียว.
จบวรรควรรณนาที่ ๙
ในอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี
ในวรรคนี้ รวมพระเถระได้ ๑๐ รูป คือ
๑. พระสมิติคุตตเถระ
๒. พระกัสสปเถระ
๓. พระสีหเถระ
๔. พระนีตเถระ
๕. พระสุนาคเถระ
๖. พระนาคิตเถระ
๗. พระปวิฏฐเถระ
๘. พระอัชชุนเถระ
๙. พระเทวสภเถระ
๑๐. พระสามิทัตตเถระและอรรถกถา