พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนให้เกิดปัญญา เพราะว่า เป็นคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ฟังได้มีโอกาสฟัง ก็สามารถจะเข้าใจได้ว่า ขณะที่ฟังมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟังมากน้อยแค่ไหน หรือว่าขณะนั้นมีความต้องการอย่างอื่น คือต้องการที่จะทำ ต้องการที่จะเห็น ต้องการที่จะรู้โดยที่ไม่ทราบเลยว่า ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นโลภะ
ในชีวิตประจำวัน ที่เราใช้คำต่างๆ เช่น คำว่า สติกับปัญญา เราอาจจะคิดว่า เราเข้าใจแล้ว พอพูดถึงสติ ก็ดูเหมือนเข้าใจ พูดถึงปัญญาก็เหมือนเข้าใจ แต่ว่าไม่ตรงกับสภาพธรรม เพราะว่า ถ้าพูดถึงสภาพธรรมที่เป็นสติต้องเป็นโสภณธรรมฝ่ายดี จะเกิดกับอกุศลไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ขณะที่ทำอะไรด้วยความติดข้อง พอใจ ตั้งอกตั้งใจทำแล้วคิดว่า ขณะนั้นเป็นสติ ไม่ถูกต้อง เพราะว่าถ้าเป็นสติต้องเป็นโสภณ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน สติจะเกิดกับจิตที่เป็นกุศล นี่เป็นคร่าวๆ แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียด สติเป็นโสภณย่อมเกิดกับจิตประเภทอื่นหรือชาติอื่น เช่น วิบาก ผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบากหรือว่าเป็นกิริยาจิตก็ได้ แต่การศึกษาโดยละเอียด จะทำให้เราเริ่มเข้าใจถูก มีความเห็นถูกว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง อาศัยการฟัง และขณะที่ฟังก็ต้องฟังด้วยดี ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง สามารถที่จะพิจารณาได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องหรือไม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าถูกต้องหมายความว่า ตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แล้วการฟัง คือการศึกษาแต่ละครั้ง ก็จะทำให้เข้าใจธรรมขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ใช่เราจะไปทำ แต่เพราะปัญญา มีความเข้าใจถูกต้อง เพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้สติอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นเป็นสติปัฏฐาน
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ