ถ้าจะกล่าวถึง อุบาย ภาษาบาลีคือ อุปายะ แล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึง แนวทาง หรือหนทางแห่งความสำเร็จ ในทางที่เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล
เพราะฉะนั้นหนทางแห่งความสำเร็จนั้นก็คือ การรู้แจ้ง และก่อนที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็น จริงนั้น ก็ต้องเริ่มจากขณะนี้ การรู้ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ปัญญาค่อยๆ มี ขึ้นได้จากการฟังให้เข้าใจ เมื่อรู้อุบายแล้ว ไม่ต้องไปหาอุบายอย่างอื่นเลย เพราะ ขณะที่คิดหาอุบายอื่น ขณะนั้นสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏก็ดับไปๆ ไม่มีโอกาสได้รู้สิ่งที่กำลังมีขณะนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รู้จักอุบายหรือยัง? ที่จะดำเนินไปถึงความสำเร็จนั้นได้ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่หนทางที่จะให้สำเร็จมี ก็ไม่ควร ท้อถอย ไม่ควรหาทางลัดอื่นใด เพราะทางอื่นไม่ใช่ทางแห่งความสำเร็จ แต่เริ่มอบ รมเจริญปัญญาได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยการฟังพระธรรม ฟังสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อสะสมความเห็นถูกเข้าใจถูก สะสมปัญญาไปตามลำดับ ... . เพราะปัญญาจะเจริญไพบูลย์ขึ้น ก็ต้องเริ่มสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย
ขออนุโมทนาค่ะ ...
"...ปัญญาจะเจริญไพบูลย์ขึ้น ก็ต้องเริ่มสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาครับ
ถ้าคิดหาอุบายก็คือเป็นผู้ที่ไม่ตรงค่ะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18530 ความคิดเห็นที่ 1 โดย khampan.a
" ... ปัญญาจะเจริญไพบูลย์ขึ้น ก็ต้องเริ่มสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย ... "
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาครับ
ข้อความที่ว่า "ปัญญาจะเจริญไพบูลย์ขึ้น ก็ต้องเริ่มสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย" ถ้ากระผมจะนำไปอธิบายให้ใครบางคนฟัง โดยอุปมาว่า ... ก็เหมือนเราไม่เคยรู้จัก ก ไก่ มาก่อน พอเริ่มทำความรู้จัก ก ไก่ วันแรกเราก็รู้จักเส้นตั้งข้างหน้าได้เส้นหนึ่ง วันต่อไป เราก็รู้จักเส้นตั้งข้างหลังอีกเส้นหนึ่ง วันต่อไปเราก็รู้จักเส้นโค้งข้างบนอีกเส้นหนึ่ง แล้ว วันต่อไปเราก็รู้จักเส้นหยักบนเส้นตั้งข้างหน้าอีกเส้นหนึ่ง ในที่สุดเราก็จะรู้จัก ก ไก่ ได้ สมบูรณ์ นี่แหละก็เหมือนกับเราสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อย ...
ใครคนนั้นฟังแล้วก็บอกว่า เขาสามารถรู้จัก ก ไก่ ได้ภายในเวลารวดเดียว ไม่ ต้องสะสมไปทีละเล็กละน้อยเลย พอเขาแย้งอย่างนี้ กระผมก็รู้ว่าตัวเองอุปมาไม่ถูก การสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะเจริญไพบูลย์นั้น ท่านอุปมา เหมือนกับอะไรไว้บ้างหรือเปล่าครับ ถ้าท่านไม่ได้อุปมาไว้ เราจะคิดคำอุปมาขึ้นเองว่า อย่างไรดีครับจึงจะถูกหลักธรรมะ เพราะคนบางคนเข้าใจพระธรรมได้ง่ายโดยวิธีอุปมา ครับ
ขอบพระคุณที่จะกรุณาชี้แนะหลักคิดที่ถูกต้องครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าอุปมาของพระพุทธองค์ครับ อันเป็นอุปมาที่ยกตัวอย่างในเรื่องการจะถึงความบริบูรณ์ของปัญญา จนถึงการบรรลุดับ กิเลสได้หมดต้องเป็นลำดับ ดังอุปมาเรื่องการเต็มของน้ำเป็นลำดับไป
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 200
อวิชชาสูตรที่ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหยาบตกลงเบื้องบน ภูเขา เมื่อฝนตกหนักๆ อยู่ น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำธาร และห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำธาร และห้วยที่เต็ม ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองที่เต็มย่อมยังบึงให้เต็ม บึงที่เต็มย่อมยังแม่น้ำน้อยให้เต็ม แม่น้ำน้อย ที่เต็ม ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม แม่น้ำใหญ่ที่เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาคร ให้เต็ม มหาสมุทรสาครนั้นมีอาหารอย่างนี้ และเต็มเปี่ยมอย่างนี้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้ บริบูรณ์ ... โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล.
ขออนุโมทนาค่ะ
บุคคลเชื่อในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุ ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา อุบาย อุบาย ทีแปลว่าแนวทางนั้น เป็นกุศล ไม่ใช่หาอุบายที่เป็น อกุศลมีผู้เข้าใจว่าฟังธรรมให้เข้าใจเป็นอุบาย อีกผู้บอกว่าเป็นมรรค ทั้งสองนั้นไม่ผิด
แต่ผมมีความเข้าใจว่าถ้าจะให้ได้ความเข้าใจให้ดีขึ้นก็คือ การเจริญสติปัฏฐานเพราะ เป็นการเริ่มเดินของแนวทาง เช่น "เธอจงเจริญสติทุกเมื่อ" เป็นอุบาย ... .ฯ อีกอย่าเมื่อ ศึกษากุศลอุบายก็ควรรู้จับอาณัตติ ซึ่งเป็นของคูกัน เพื่อจะได้เข้าใจดีขึ้น อาณัตติก็คื อการที่จะรู้ในการเดินทางไปในทางที่ไม่ราบเรียบ เช่น "พึ่งละเว็นบาปทั้งปวง เหมื่อน บุรุษผู้มี่จักษุ เมื่อทางที่จะดำเนินไปมีอยู้ ย่อมหลีที่ไม่ราบเรีบยเสีย" เป็นอาณัตติ
ขอเพิ่มเติมจาก ความคิดเห็นที่ ๖ ค่ะ ...
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ ๓๔๘
๙. นาวาสูตร
[๒๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือหรือรอยหัวแม่มือของช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้ ย่อมปรากฏด้ามมีดให้เห็น แต่ว่าช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้ วานซืนนี้สึกไปเท่านี้ มีความรู้แต่เพียงว่า ด้ามมีดนั้นสึกๆ แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มีความรู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปเท่านี้ วานนี้สิ้นไปเท่านี้ วานซืนนี้สิ้นไปเท่านี้ ก็จริง แต่เธอก็รู้ว่าสิ้นไปแล้วๆ .
อุบายหมายถึงหนทางสู่ความสำเร็จ หนทางที่ไปสู่ความสำเร็จที่ดับกิเลสเป็นสมุทเฉทมีหนทางเดียวคือหนทางรู้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริงเท่านั้นเรียกว่ารู้จักอุบาย (เพราะไม่มีทางอื่น)
... หนทางอื่นไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จเพราะเป็นหนทางที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดซึ่งไม่ใช่หนทางตรงหรือทีเรียกว่ากลอุบาย
ขออนุโมทนาคะ
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ กับทุกความคิดเห็น
โดยเฉพาะความคิดเห็นที่ 6 อุปมาเหมือนเม็ดฝนยังให้เกิดสายน้ำ ช่วยให้กระผมนึก ขึ้นได้ถึงคำที่ว่า หยาดฝนที่ละหยดทำให้หม้อน้ำเต็มได้ฉันใด ... . ข้อความเต็มๆ ว่าอย่างไร ครับ
และความคิดเห็นที่ 9 อุปมาเหมือนด้ามมีดสึกไปที่ละน้อย เฉียบมาก จนอยากยืมคำ ฝรั่งมาอุทานว่า Oh I see!
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
ข้อความเต็มของอวิชชาสูตร คลิกที่นี่ครับ
อวิชชาสูตร .. โพชฌงค์ ๗
ส่วนข้อความเรื่อง หยาดน้ำทีละหยด ย่อมทำให้หม้อน้ำเต็ม ท่านอุปมา อกุศลที่ทำทีละ น้อย ย่อมทำให้อกุศลเจริญ เต็มบริบูรณ์ได้ เช่นเดียวกับ กุศลธรรม กุศลทีละน้อยก็ย่อม ทำให้เต็มได้เช่นกันครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 2
๔. แม้คนผู้ทำบุญ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอด กาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อม เห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดกรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรม ดีว่าดี.
๕. บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบาปว่า บาปมีประมาณ น้อยจักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตก ลง (ทีละหยาดๆ ) ได้ฉันใด ชนพาลเมื่อสั่งสมบาป แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ฉันนั้น.
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ