ภิ. ที่ฟังดูเป็นที่น่าอัศจรรย์ เป็นที่ลื่นไหลของปัญญาญาณของผู้บรรยาย ตอนนี้มีข้อแม้กันอยู่ว่า ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่า กำลังจะเข้าถึงองค์ประกอบ หรือกระแสแห่งธรรมหรือกระแสแห่งสภาพปรากฏแห่งเหตุปัจจัยนั้น ค่อนข้างยากเพราะหลายท่านที่นั่งฟังกันอยู่รวมทั้งผู้พูดเอง ก็มีอารมณ์ มีปรากฏการณ์ทางจิตและมีมายาการณ์แห่งจิต ซึ่งปรากฏการณ์และมายาการณ์และอารมณ์แห่งจิต มันอาจจะเป็นเครื่องป้องกัน เป็นปราการป้องกันไม่ให้เราเข้าไปถึงองค์คุณแห่งคำว่า“รู้สภาพธรรมที่ปรากฏ” อยากให้อาจารย์ได้อธิบายถึงการที่เราจะสามารถเข้าไปถึงองค์คุณของสภาพแห่งธรรมที่ปรากฏอย่างไร ตรงนั้น
อ. ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ธรรมเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่มีเราที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็คือ สภาพธรรมแต่ละชนิดคือ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป “เจตสิก” หมายความถึง สภาพธรรมที่เกิดกับจิต เช่น ความติดข้องเป็นโลภะความขุ่นเคืองเป็นโทสะ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นโมหะและชีวิตประจำวันอื่นๆ เช่น ความขยันก็มีจริง แต่ไม่ใช่จิต เป็นเจตสิก
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับ ถ้าเราข้ามขั้น เราก็ไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้เลยเหมือนเวลาที่เราเรียนหนังสือ เราก็ต้องเรียนตั้งแต่ต้น ชั้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ เจริญขึ้น การศึกษาธรรมต้องศึกษาจริงๆ เพราะว่าเป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่บางครั้งอาจจะอ่านหนังสือ เช่น พระไตรปิฎกแต่ไม่ได้ศึกษา จะทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมากต้องอาศัยการศึกษา การพิจารณา การค่อยๆ เข้าใจ ตามลำดับจริงๆ ถ้าใครก็ตามที่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ แต่ไม่เข้าใจอะไร หรือว่าอาจจะเข้าใจผิด เมื่อศึกษาพระไตรปิฎก ก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งนั้นๆ ได้ เพราะว่าแต่ก่อนมีความเห็นผิด ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นตัวตน แต่เมื่อศึกษาแล้วก็ทราบว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละคน เป็นธรรมทั้งหมดเลยถึงแม้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล รูปธรรมซึ่งเป็นธรรม ก็เป็นรูปธรรม เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจลักษณะที่ต่างกันของธรรมซึ่งเป็นนามธรรมกับรูปธรรมก่อน ต้องเป็นความเข้าใจที่จะค่อยๆ เจริญขึ้นแต่ถ้าเป็นเรา เป็นตัวตนที่พยายามจะรู้ อันนั้นไม่ได้ละความไม่รู้เลย
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ