ขอกราบเรียนถามอาจารย์ทุกท่านนะคะ
ธาตุในตารางธาตุ คือ โอชารูป ใช่หรือไม่คะ เพราะเป็นสิ่งที่ร่างกายได้จากการกิน ดื่ม ทา หรือสูดดมเข้าไป และมีผลทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่าง ออกซิเจน เป็นสิ่งที่ละลายน้ำได้ และได้รับผ่านทางการสูดดม รวมทั้งอยู่ในอาหารและยา ออกซิเจน มีผลต่อสุขภาพ สามารถรักษาโรคให้หาย และสามารถทำให้เกิดโรคได้ด้วย (Oxygen therapy ในแง่รักษาโรค , Oxidative stress ในแง่ทำให้เกิดโรค) สามารถยืดอายุอาหารและยาได้ และสามารถทำให้อาหารและยาเสื่อมสภาพได้ด้วย ดิฉันเข้าใจว่า ออกซิเจน ไม่ใช่อากาศธาตุและไม่ใช่มหาภูตรูปด้วย ความเข้าใจนี้ถูกหรือไม่คะ
เคยอ่านเจอในเวบบอร์ดแห่งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้ถกเถียงกันว่าออกซิเจนคือธาตุอะไรในทางอภิธรรม มีบางคนเข้าใจว่าออกซิเจนคืออากาศธาตุ (เพราะเค้าเข้าใจคำว่าอากาศในแบบภาษาไทย ไม่ใช่อากาศในแบบภาษาพระอภิธรรม) บ้างก็บอกว่าเป็นธาตุลม (เพราะเค้าเข้าใจว่าออกซิเจนคือลมหายใจ) บ้างก็บอกว่าเป็นธาตุน้ำ (เพราะออกซิเจนละลายในน้ำได้ และใช้ในทางการแพทย์ด้วย)
แต่ดิฉันเข้าใจต่างออกไปจากกลุ่มสนทนานั้น และไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจถูกหรือไม่
ขอความเมตตาจากอาจารย์ทุกท่านช่วยอธิบายทีค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอกล่าว คำว่ าธาตุ ตามที่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ดังนี้ ครับ
สภาพธรรมที่ชื่อว่า ธาตุ มีหลายความหมายดังนี้ ครับ
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่สัตว์ทั้งหลาย ยึดถือไว้
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ตั้งไว้
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่จัดแจง จัดสรร
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ไม่เป็นไปตามอำนาจ เพราะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของสภาพธรรม
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน
ธาตุ หมายถึง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน
ปริจเฉทรูป คือ อากาสรูป ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลาปทุกๆ กลาป ทำให้รูปแต่ละกลาปไม่ติดกัน ไม่ว่ารูปจะปรากฏเล็กใหญ่ขนาดใดก็ตาม ให้ทราบว่ามีอากาสรูปคั่นอยู่ระหว่างทุกๆ กลาปอย่างละเอียดที่สุด ทำให้รูปแต่ละกลาปแยกออกจากกันได้ ถ้าไม่มีปริจเฉทรูปคั่นแต่ละกลาป รูปทั้งหลายก็ติดกันหมด แตกแยกกระจัดกระจายออกไม่ได้เลย แต่แม้รูปที่ปรากฏว่าใหญ่โต ก็สามารถแตกย่อยออกได้อย่างละเอียดที่สุดนั้นก็เพราะมีอากาสธาตุ คือ ปริจเฉทรูปคั่นอยู่ทุกๆ กลาป นั่นเอง ฉะนั้น ปริจเฉทรูปจึงเป็นอสภาวรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่มีลักษณะเฉพาะของตนที่เกิดขึ้นต่างหาก แต่เกิดคั่นอยู่ระหว่างกลาปต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั่นเอง
รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ เป็น ๑๓ รูป
ไม่ว่ารูปจะเกิดที่ใด ภพภูมิใดก็ตาม จะเป็นรูปที่มีใจครอง หรือไม่มีใจครอง ก็ตาม จะปราศจากรูป ๑๓ รูปนี้ไม่ได้เลย ปริเฉทรูปเป็นรูปปรมัตถ์ มีลักษณะจริงๆ มีสมุฏฐานให้เกิดทั้ง ๔ สมุฏฐาน เป็นธรรมะที่กั้นระหว่างกลุ่มของรูป เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นรูปที่สามารถรู้ได้ทางใจเท่านั้น ไม่สามารถปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกายได้ และเราก็มักจะพูดถึงแต่ธรรมะที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ก็ไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏได้ไหม การอบรมเจริญสติปัฏฐานคือ การอบรมความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ มีทางเดียวเท่านั้นคือเข้าใจลักษณะของเห็น หรือสิ่งที่ถูกเห็น ได้ยิน หรือเสียง...เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ออกซิเจน จึงไม่ใช่ อากาศธาตุตามที่เข้าใจกัน ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
ธาตุคือสภาวะของตนซึ่งทรงไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
วีระ ธาตุหมายถึงความบริสุทธิ์หรือครับ ตอนที่ผมเรียนตอนเด็กๆ ธาตุ เช่น ยูเรเนียมออกซิเจน ไฮโดรเจน คือความบริสุทธิ์ของอันนั้นใช่ไหมครับถึงเรียกว่าธาตุ
สุ. คืออันนั้น เป็นธาตุทางวิทยาศาสตร์ แต่ธาตุทางธรรม ถ้ามาจากภาษาบาลีก็คือสภาพซึ่งทรงไว้ ที่มีลักษณะเฉพาะๆ ของตนๆ แต่ละธาตุๆ ซึ่งอาจจะใช้สำหรับรูปธาตุหรือนามธาตุ หรือทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะมีอีกหลายธาตุ ก็หมายความถึงสภาพซึ่งทรงไว้ ซึ่งสภาวะที่มีจริงของตนๆ อย่างเห็น จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เป็นธาตุชนิดหนึ่ง
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธาตุไม่ได้อยู่ในตาราง แต่ธาตุ เป็นธรรมที่มีจริงๆ และ ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันด้วย ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอดไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ บ้าง ธาตุ บ้าง อายตนะ บ้าง ก็ล้วนเป็นไปเพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นธรรม แต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน ซึ่งเมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ธาตุ เมื่อว่าโดยความหมายแล้ว หมายถึงสภาพที่ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามข้อความจาก[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก [เล่มที่ 26] สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ ว่า “ความที่ธรรมมีสภาพต่างกัน ได้ชื่อว่า ธาตุ เพราะอรรถว่า เป็นสภาวะ (มีจริงๆ ) กล่าวคือ มีอรรถว่า มิใช่สัตว์ และ มีอรรถว่า เป็นของสูญ (ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน) ดังนี้ ชื่อว่า ความต่างแห่งธาตุ”
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น และไม่มีเราที่แทรกอยู่ในธรรมนั้นๆ ได้เลย เพราะ เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ขณะนี้มีธาตุ เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งเป็นสภาพที่สูญจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม ก็ตาม
การศึกษาเรื่องธาตุ จึงไม่พ้นไปจากการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นไปเพื่อการไถ่ถอนการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล มีการประจักษ์ความเป็นธาตุ เพราะมีการระลึกรู้ตัวจริงของสภาพธรรมที่เป็นธาตุแต่ละอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะในคำตอบให้เข้าใจ
ขณะนี้ก็มีธาตุ แต่ละหนึ่งแต่ละอย่างเกิดดับรวดเร็ว แสนสั้น ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ไม่เที่ยง เป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ เป็นธรรมไม่ใช่เราค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ