ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน ได้เริ่มต้นแล้วในวันนี้ (วันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นการได้ร่วมกันศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอันเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เจริญขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดงความจริงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก พระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง เป็นมรดกที่ลํ้าค่าที่พระองค์ทรงมอบให้แก่สัตว์โลก แม้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นศาสดาแทนพระองค์ และพระธรรมก็ได้ดำรงสืบต่อมาจนกระทั่งถึงยุคนี้สมัยนี้
ถ้าได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมและมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็จะไม่ไปทางผิด ไม่ไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความไม่รู้ ไม่ถูกหลอกให้หลงงมงาย เพราะมั่นคงในหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาโดยตลอด
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สนทนาในเรื่องสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด ก็ตาม จะมากหรือน้อย ย่อมมีค่า เพราะย่อมจะอุปการะเกื้อกูลให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เจริญขึ้น เริ่มเป็นผู้มีเหตุมีผล ไม่คล้อยไปในสิ่งที่ผิด
ในการสนทนาธรรมในครั้งนี้ อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ก็ได้นำคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในประเด็น เส้นทางอนัตตา มาเปิดให้ผู้ร่วมสนทนาได้รับฟังด้วย ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงขอโอกาสถอดเทปประมวลคำสนทนาดังกล่าว มาให้ทุกท่านได้อ่านและพิจารณาร่วมกันดังนี้
[เมื่อไหร่ก็ตามที่ยังเชื่อเรื่องของขลังต่างๆ เรื่องผ้ายันต์ต่างๆ ก็คือ ไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง ฟังไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่การสะสมความเห็นถูกที่จะทำให้สภาพธรรมปรากฏได้ ขณะนี้ทุกคนรู้ว่ามีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุขมีทุกข์ ก่อนอื่นไม่ใช่เรา มั่นคงหรือยัง ขณะที่ยังไม่มั่นคง สภาพธรรมก็ยังไม่ปรากฏ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามั่นคงหรือยังว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ฟังมาก็นาน จำได้ด้วยว่า เห็นไม่ใช่เรา บางคนก็จำต่อเลย เห็นเป็นจักขุวิญญาณ บางคนก็จำต่อไปว่า เป็นอายตนะ จำหมดเลย แต่ความเข้าใจมั่นคงหรือยัง ถ้ามั่นคงจริงๆ สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ด้วยความเป็นอนัตตา เมื่อนั้นก็รู้ว่านั่นคือลักษณะของสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นอนัตตา ต้องเริ่มเกิดจากการฟังเข้าใจก่อน จึงเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดได้ แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงน้อยมาก และเป็นปกติด้วย รู้สิ่งใด ขณะนั้นก็จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ตั้งอยู่ที่สิ่งนั้นด้วยความเข้าใจว่า นี่ มีจริง เช่น แข็งมีจริง กระทบแข็ง เดี๋ยวนี้แข็งมีจริงหรือเปล่า ถ้าถาม ก็บอกว่ามีจริง แต่ตอนที่กำลังกระทบ แข็ง มีจริงไหม มี แต่ไม่รู้ ความรู้จากการฟังเท่านั้นทีละเล็กทีละน้อยทั้งหมดจะมารู้ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏในความเป็นสิ่งที่มีจริงที่ใช้คำว่าธาตุหรือธรรม แค่มีจริง แต่เมื่อยังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เพราะฉะนั้น จะไปละคลายความเป็นตัวตนได้อย่างไร จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นโดยความเป็นอนัตตาแท้ๆ จริงๆ โดยการที่ละคลายความต้องการความติดข้องและความพากเพียรที่เป็น
สีลัพพตปรามาส (การลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด) จะไปทำอย่างนั้นจะไปทำอย่างนี้ ทำอย่างไรถึงจะรู้สภาพธรรม ต้องไปนั่งอยู่กี่วันหรืออะไรอย่างนั้น ยกมือข้างหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่ายกทำไม ในโทรทัศน์เห็นจริงๆ ยกมือทำไม ก็ยกกันเป็นแถว นี่อะไร ก็แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ถ้าไม่รู้ จะเป็นสติสัมปชัญญะหรือเปล่า ไม่เป็น จะไปทำสติสัมปชัญญะไหม ได้ยินแต่คำว่ามีสติ แล้วอย่างไรกัน ไปมีได้อย่างไร เมื่อไม่มีความเข้าใจอะไรเลยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าปัญญาเริ่มค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้สติเกิดหรือเปล่า ไม่เกิดก็คือไม่เกิด แต่จากการฟัง เวลาที่สติเกิด ไม่ต้องเรียกไม่ต้องบอกไม่ต้องถามว่าถูกไหม เพราะขณะนั้น ปัญญารู้ความต่างของขณะที่กระทบสัมผัสแข็งไม่ใช่ด้วยสติ แต่ขณะใดที่สติเกิด รู้ตรงนั้น ขณะนั้นก็คือว่าไม่ใช่ขณะที่เพียงกระทบแล้วไม่รู้ ความรู้ทั้งหมดจากการฟังจะมีประกอบกันไปกับทุกขณะที่สติสัมปชัญญะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม นิดเดียวเอง ยังไม่มากพอเลย ยังไม่สามารถละคลายอะไรได้ สภาพธรรมจริงๆ จึงยังปรากฏไม่ได้จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคง ขณะนั้นก็พร้อมที่จะเกิด คนนั้นไม่ทันไปทำอะไรเลยเพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เตรียมไว้คอยไว้ ว่า วันนี้อารมณ์ดีๆ สติ จะมา แต่ก็ไม่รู้ ก็คิดกันไปต่างๆ นานาด้วยความหวังหรือความเป็นเราด้วยการคอย ทั้งหมด ผิด เป็นสีลัพพตปรามาส (การลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด) กว่าจะรู้ว่าผิดต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่รู้ก็ทำกันต่อไป ก็มีการประพฤติปฏิบัติเทียมมากมายตั้งแต่ในระดับที่เห็นชัดๆ ว่าผิด ปัญญาต้องรู้จริงๆ ขณะนั้นว่าผิดในขณะผิด ไม่ใช่ไปคิดทีหลังว่านั่นผิดแล้ว ก็เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาด้วยความเข้าใจจึงสามารถที่จะละความหวังแล้วก็รู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติจะเกิดเมื่อไหร่ ใครรู้ ก็เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตา ก็ไม่ต้องไปหวังไปคิดว่าจะทำไปคิดว่าจะคอย ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด จะเข้าใจกว่านั้นอีกเมื่อไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดคือความเป็นอนัตตา
#ปัญญาเท่านั้นที่เห็นสีลัพพตปรามาส (การลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด) สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน) และทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ที่เกิดจากความเห็นว่ามีตัวตนที่จะจดจ้อง แม้เพียงนิดหนึ่งปัญญาต้องรู้ ด้วยเหตุนี้จึงละทั่ว ละหมด ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้นจนไม่สามารถที่จะมีปัจจัยเกิดขึ้นอีกได้เลย เป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ความไม่รู้ แล้วไปหลอกไปหลงไปลวงว่าเข้าใจ
#ความละเอียดที่ว่า ไม่มีความเห็นผิดใดๆ หลงเหลือเกิดอีกได้เลย ก็เพราะเหตุว่าปัญญา มีความเข้าใจละเอียดขึ้น ถูกต้องขึ้น ชัดเจนขึ้น และสภาพธรรมปรากฏตามที่ได้ฟังตรงทุกอย่างไม่คลาดเคลื่อน เพราะพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ผิดทุกคำ จะมีคำผิดไม่ได้เลย เพราะทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม
#การฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น เข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลายการที่ไปติดไปจดจ้องต้องการ แต่ก็ต้องแล้วแต่ความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาว่าจะถึงกาล (เวลา) เมื่อไหร่ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมใด เห็นความเป็นอนัตตาชัดเจนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เป็นเส้นทางของอนัตตาโดยตลอด เพราะนั่นคือปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) ]
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงๆ ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย และจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา
จะเห็นได้จริงๆ ว่า การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นการได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกจากแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงซึ่งยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ก็สามารถที่จะฟังและเข้าใจได้ ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังไม่รู้อะไรเลย มืดสนิท แต่พอได้เริ่มฟังแล้วเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของพระธรรม ค่อยๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และยิ่งจะเพิ่มพูนความเพียร ความอดทน ความจริงใจ ความตั้งใจมั่นในการฟังในการศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไป คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วยังมีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศล อ.คำปั่น ที่กรุณาแบ่งปันข้อความในการสนทนาธรรมครั้งนี้ด้วยค่ะ
ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเกิดความเข้าใจ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์คำปั่น ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ