* กิเลส คือสิ่งที่เกิดกับจิต มีสภาพเศร้าหมอง เป็นโทษ ซึ่งปรุงแต่งให้จิตเป็นอกุศล
* กิเลสจึงเป็นโรค (พยาธิ) ของจิต ที่ประทุษร้ายจิตใจอยู่ทุกๆ ขณะที่กิเลสเกิดกับจิต
* กิเลสมี 3 ระดับ คือ
- กิเลสที่เป็นพืชเชื้อสะสมสืบต่อในจิต ตามนอนในจิต (อนุสัย) ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลสนั้นๆ เช่น ในขณะที่ปุถุชน (ผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส เพราะยังดับกิเลสไม่ได้เลย) นอนหลับสนิท จิตขณะนั้นก็มีอนุสัยคือพืชเชื้อของกิเลสทุกอย่างสะสมอยู่
- กิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลสนั้นๆ เช่น โลภะ เมื่อเกิดขึ้น ก็ทำกิจติดข้อง พอใจ โทสะ เมื่อเกิดขึ้น ก็ทำกิจขุ่นเคือง กระทบกระทั่ง หรือโมหะ เมื่อเกิดขึ้น ก็ทำกิจให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง แต่ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
- กิเลสที่มีกำลังมาก จนก้าวล่วงทำให้เกิดการประทุษร้ายผู้อื่นด้วยกาย วาจา
* พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวงด้วยพระองค์เองโดยชอบ ทรงมีพระบริสุทธิคุณที่ทรงดับกิเลสทั้งปวง (ทั้ง 3 ระดับ) ซึ่งเป็นพยาธิ (โรค) ของจิตใจ ได้หมดจดสิ้นเชิง (สมุจเฉท) และทรงมีพระมหากรุณาคุณ ที่ทรงจำแนกแสดงพระธรรมโดยนัยประการต่างๆ
* พระธรรมที่ทรงแสดง เปรียบเหมือนยาที่ทรงปรุงเพื่อรักษาโรค เพราะพระธรรมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะทำให้ผู้ฟัง (สาวก) ได้เข้าใจความจริง และสามารถขจัดโรค คือ กิเลสทั้งหมด ได้ในที่สุด
* พระอริยสงฆ์สาวก ก็คือหมู่ของพระอริยบุคคล (ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์) ที่ได้รับยาคือพระธรรม ซึ่งทำให้สามารถอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งความจริง ขจัดกิเลสทั้งปวง ซึ่งเป็นโรคของจิตใจ ได้ตามลำดับ จนหมดสิ้นในที่สุด
โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... คติธรรม
ขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด
สาธุ สาธุ สาธุ