ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. น้ำมนต์คืออะไร ทำขึ้นมาอย่างไรจึงชื่อว่าเป็นน้ำมนต์ น้ำมนต์มีสรรพคุณอย่างไร ใช้ประโยชน์เพื่อการใด
๒. ภิกษุสงฆ์เจริญน้ำพระพุทธมนต์ หมายความว่าอย่างไร มีต้นตำรับที่มาความเป็นไปอย่างไร มีประโยชน์มีความถูกต้องหรือไม่
๓. ภิกษุที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ เป็นอาบัติหรือไม่อย่างไร มีโทษอย่างไร ถ้ามิได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ทำให้ฟรีๆ (ไม่ยินดีในเงินทองทรัพย์ใดๆ ที่เขาให้ ได้มาก็เอาเข้าวัด ไว้บำรุงเสนาสนะวัด)
๔. คนที่เที่ยวสะเดาะห์เคราะห์ รดน้ำมนต์ มีความเห็นผิดประการใด มีโทษอย่างไร
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อนครับ เพราะ มนต์ (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญ คือ มนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตร ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน เป็นไปตามกรรม ดังนั้น นำมนต์ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดความสุข สวัสดี มงคลอะไรเลย แต่ ความดีที่เป็นกุศลธรรมต่างหาก เป็นมงคล เพราะจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีจริงๆ ทั้งการได้รับสิ่งดี และสะสมสิ่งดีในจิตใจ ดังนั้น ยันต์เกราะเพชร และ น้ำมนต์จึงไม่มีผลอะไร เพราะเป็นเพียงความเชื่อที่เข้าใจผิดว่า จะทำให้ได้รับสิ่งที่ดีจากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่ตรงตามหลักกรรมและผลของกรรม ครับ
การรดน้ำมนต์ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านเว้นจากการรดน้ำมนต์
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 14
(๒๕) ๗. พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธี...
ดังนั้นผู้ประกอบพิธีรดน้ำมนต์ รวมทั้งผู้มีความเชื่อในการรดนำมนต์ ก็ประกอบด้วยความเห็นผิดที่ไม่เชื่อ ไม่ตรงกับหลักกรรมและผลของกรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าศึกษาไม่ละเอียด หรือเพียงผิวเผินก็ทำให้เข้าใจพระธรรมคลาดเคลื่อน ตามความเป็นจริงแล้ว ในสมัยพุทธกาล ในรัตนสูตร มีข้อความว่า ท่านพระอานนท์เอาบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำมา เดินประพรมไปทั่วพระนคร ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรืออันตรายใดๆ แต่เป็นการเตือนสติให้น้อมระลึกถึงพระธรรม เพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาใด สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ ความเข้าใจพระธรรม และที่สำคัญมีการแสดงพระธรรมเพื่อให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกด้วย เพราะผู้คนตั้งมากมาย จะเตือนด้วยวิธีใด ก็ต้องเตือนด้วยวิธีนี้ ที่จะให้ได้มีที่พึ่ง คือ มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง โดยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งในเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงรัตนสูตร มีผู้ได้บรรลุธรรมมากมาย ความเข้าใจพระธรรม นี้เอง ที่เป็นเครื่องป้องกันภัย
พระพุทธมนต์ ไม่ใช่น้ำ แต่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อันเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกที่มากไปด้วยกิเลส มีความไม่รู้ ความติดข้อง เป็นต้น จึงทรงแสดงความจริงนี้ ให้สัตว์โลกได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นพระสูตรต่างๆ ธรรมหัวข้อต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมด เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงไม่มีพระธรรมคำสอนแม้แต่บทเดียวที่ให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ มีแต่ทรงแสดงพระธรรม ซึ่งเป็นความจริง เพื่ออนุเคราะห์ให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้น แล้ว จะเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ต้องฟัง ต้องศึกษา ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง
๒. พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่เกิดจากการสะสมบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่ยาวนาน และเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเข้าใจแต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่มีความจริงใจตั้งใจที่จะศึกษา ซึ่งจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง โดย ไม่ใช่เพียงสวด หรือ ท่องเท่านั้น จะต้องเป็นผู้มีความเข้าใจด้วย บทสวดมนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมงคลสูตร กรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ล้วนเป็นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาและเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้านำมาสวดหรือท่องเพื่อได้ เพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด หวังลาภสักการะ ก็เป็นการผิดตั้งแต่ต้น เป็นอกุศลตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เพราะพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงทั้งหมดนั้น เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อความติดข้องต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังนั้น การเจริญพระพุทธมนต์ ไม่มีในสมัยพุทธกาล มีแต่การฟังพระธรรม สนทนาธรรม ไตร่ตรองพระธรรม ทบทวน (สาธยาย) ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก
๓. ถ้ามีการพ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ นั่น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่ใช่ผู้สงบ ไม่ใช่ผู้ประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การกระทำอย่างนั้นไม่ใช่กิจของภิกษุในพระธรรมวินัย เป็นโทษ เป็นอาบัติทางพระวินัยด้วย และยังก่อให้เกิดความหลงงมงายให้แก่ผู้อื่นด้วย ทำให้ผู้คนออกห่างจากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
๔. อกุศลกรรมที่ทำไปแล้ว ไม่มีใครแก้ไขได้ ลบล้างไม่ได้ ถ้ามีการไปทำอะไรที่คิดว่าจะพ้นจากการได้รับผลของกรรม ย่อมไม่พ้นจากอกุศล มีความเห็นผิด ความติดข้อง และความไม่รู้ เป็นต้น เพราะฉะนั้นที่ดีที่สุด คือ การตั้งต้นด้วยคุณความดี ตั้งใจที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไป แต่ตั้งต้นใหม่ได้ นี้คือ สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา ไม่ใช่การไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความเห็นผิด ด้วยความไม่รู้ซึ่งไม่มีเหตุผล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ทำไมจึงยังมีพระสงฆ์ทำน้ำมนต์ พรมน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ตลอดเวลา ผมเคยภูกชวนไปที่วัดแห่งหนึ่ง มีพระสงฆ์ลูกวัดตั้งสำนักหมอดู สะเดาะเคราะห์ เรียกค่าครูเวลาทำนายโชคชะตา ถ้าจะรดน้ำมันต์ก็อีกราคาหนึ่ง หลายร้อยบาท กำหนดไว้ตายตัวเลย (รดฟรีไม่ได้)
นอกจากนั้นงานมงคลต่างๆ พระสงฆ์จะประพรมน้ำมนต์เสมอทุกงาน
ทำไมถึงไม่มีใครแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยครับ
ขออนุโมทนาครับ