การฝึกสติดทำรู้สึกสมองมันเปิด ตื่นตัว ทำให้นอนไม่หลับ สมองมันเปิดตลอด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน มันไม่หลับครับผมไม่รู้จะำทำไงดีครับ แต่สมองมันไม่ได้คิด อะไรครับ มันโปร่ง โล่ง ไม่หลับครับ รบกวนหน่อยครับ แนะนำผมหน่อย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การฝึกสติ ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน สำคัญที่ความเข้าใจถูก และ ที่สำคัญ หนทางที่ถูกต้อง คือ ทำให้เกิดปัญญา หากทำแล้ว ไม่ได้เกิดปัญญา มีความ สงสัย มีความไม่รู้เพิ่มขึ้น ทำให้นอนไม่หลับ แต่ โปร่งโล่ง ไม่รู้อะไร นั่นไม่ใช่ หนทางที่ถูกต้องเลย จึงไม่มีเราที่จะทำ จะเดิน จะนั่งสมาธิ จะทำอะไรต่างๆ ที่ หมายถึงการฝึกสติ แต่ การเจริญสติปํฏฐานที่ถูกต้อง คือ การเกิดสติระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในชีวิตประจำวัน เป็นปกติว่าเป็นแต่ เพียงธรรมใช่เรา โดยไม่ใช่เป็นการนั่งสมาธิ หรือ เดินจงกรมเลย แต่เป็นการ เจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แม้แต่ขณะที่ใช้ชีวิต ขณะที่ทำงาน เป็นปกติในขณะนี้ ก็สามารถเจริญสติ สติเกิดได้ ครับ โดยไม่ต้องไปทำตอนจะ นอน หรือ นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการนอนไม่หลับ ซึ่ง ไม่ใช่ผลของการเจริญ สติปํกฐานที่ถูกต้องเลย ครับ อย่างไรก็ดี ขอให้กลับมาที่หนทางที่ถูกต้อง แทนที่จะฝึกสติ ก็กลับมาที่เริ่มจากการฟังให้เข้าใจ ว่า สติคืออะไร และ สภาพธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร และ ธรรม คือ อะไร เพราะ หาก ไม่มีความเข้าใจขั้นการฟัง ก็ไม่สามารถถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่เป็นการ ปฏิบัติที่ผิดไป เพราะ ไมได้ทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูก ครับ
สติคืออะไร สติคือธรรมฝ่ายดี เกิดกับจิตที่เป็นกุศลทุกประเภทรวมทั้งเกิดกับ วิบากจิตและกิริยาจิตบางประเภท แต่เมื่อพูดถึงสติที่หมายถึงการเจริญวิปัสสนา นั้น ต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วยและควรเข้าใจว่า สติและปัญญาที่เป็นไปในการ เจริญวิปัสสนานั้นคือเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ คือ สติระลึก สภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ปัญญารู้ตามความเป็นจริงในขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่ เรา แต่สติและปัญญาเป็นธรรมและเป็นอนัตตา ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องอบรมเหตุที่ถูกต้อง คือฟังให้เข้าใจก่อน ว่าธรรมคืออะไร เพราะถ้าไม่เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร สติและปัญญาก็ไม่มีทางเกิดได้เลยเพราะไม่มีปัญญาขั้นการฟังที่รู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้สติและปัญญาเกิด เพราะสติและ ปัญญาเกิดก็รู้ความจริงที่มีใน ขณะนี้ครับ ..
ดังนั้น จึงไม่มีตัวตนที่จะพยายามไปฝึกสติและที่สำคัญถ้าอบรมเหตุผิด เช่น ไปนั่ง สมาธิ ไปจดจ้องสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เป็นโลภะ ไม่ใช่สติ นั่นไม่ใช่เหตุปัจจัยให้สติ เกิดเลยครับ ดังนั้นต้องเริ่มจากเหตุที่ถูกต้อง คือฟังให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร ขณะที่ฟังเข้าใจ แม้ในขณะนี้ที่อ่านนี้ก็ตาม ขณะนั้นแม้จะไม่เรียกชื่อว่ากำลัง ฝึกสติ แต่ก็เป็นการอบรมเหตุที่ถูกต้องที่เป็นปัจจัยให้สติและปัญญาเกิด นั่นคือ สังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งเอง ขณะที่เข้าใจ ไม่มีตัวตนไปพยายามฝึกสติ เพราะขณะที่ทำ ขณะที่จะพยายาม นั่นไม่ใช่เหตุให้เกิดสติครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
จะนั่งสมาธิอีกแล้วครับ
ความเข้าใจเรื่องสมาธิ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีตัวตนที่ฝึก ไม่มีตัวตนที่ทำ มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่หนทางเดียวที่จะทำให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรม ที่ กำลังมีกำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงนั้น ต้องฟังพระธรรม ต้องศึกษาพระธรรมที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความตั้งใจจริงๆ เพราะพระธรรมทั้งหมดนั้น แสดงให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง และสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมาในการที่จะรู้ธรรม ต้องเป็น ปกติจริงๆ ไม่ใช่ผิดปกติ แม้แต่ในเรื่องของ สมาธิ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าได้ศึกษา อย่างละเอียดแล้ว จะไม่เข้าใจผิดเลย จะไม่เข้าใจผิดว่าสมาธิเป็นรูปแบบของการ ปฏิบัติ
สำคัญที่ความเข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ เพราะเหตุว่า สมาธิ เป็นเรื่องที่ละเอียด มาก เป็นธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มีทั้งมิจฉาสมาธิ และสัมมา- สมาธิ ซึ่งถ้าไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตนด้วยความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่ การอบรมความสงบของจิต แต่เป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส พอกพูนสังสารวัฏฏ์ให้ยืดยาวต่อไป ส่วนสมาธิที่เป็นกุศลก็มี เพราะสมาธิ เป็นเจตสิก ประการหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกประเภท (เอกัคคตาเจตสิก) ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดกับจิต ประเภทใด ถ้าเกิดกับอกุศล (ซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง) เป็นอกุศลสมาธิ หรือ เป็นมิจฉา สมาธิ แต่ถ้าเกิดกับกุศลจิตก็เป็นกุศลสมาธิ
สำหรับสติ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศลธรรม เกิดร่วมกับจิตที่ดีงาม เท่านั้น จะไม่เกิดกับจิตชาติอกุศลเลย สติเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บังคับ ให้สติเกิดก็ไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ได้สะสมกุศล เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม กุศลจิตเกิด ขึ้น นั่นมีสติเกิดร่วมด้วยแล้ว แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ที่เป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่ กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต้องมีพื้นฐานมาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระ ธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จึงจะ เป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้ ซึ่งในขณะที่สติปัฏฐานเกิดนั้น สติก็มี ปัญญา ก็มี สมาธิ ก็มี รวมไปถึงสภาพธรรมที่ดีงามอื่นๆ ด้วย
พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน (วิปัสสนา) ระลึกรู้ สภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน โดยอาศัยการได้ฟังพระธรรม จากพระสัมมา สัมพุทธเจ้าสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ไม่รู้ อะไรแล้วไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน แม้ว่าท่านเหล่านั้น (บางท่าน) จะได้อบรม เจริญสมถภาวนาด้วย ก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ในความเป็นจริง ของสภาพธรรม พราะฌานจิต และองค์ฌานทั้งหลาย มี มีวิตักกะ วิจาระ เป็นต้น เป็นธรรมที่มีจริง ก็เป็นที่ตั้งที่จะให้ท่านเหล่านันเข้าใจตามความเป็นจริง ละคลาย การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ได้ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ต้องเริ่มที่การฟัง การศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ธรรมทุกคำมีค่ามาก ถ้ามีความตั้งใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาด้วยความจริงใจแล้ว ความ เข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สติอบรมเจริญให้เกิดขึ้นได้ แต่ ไม่ใช่เป็นตัวตนที่ไปฝึกสติ ค่ะ
อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณครับอาจารย์ที่แนะนำหนทางแห่งการพ้นจากความทุกข์
ขออนุโมทนาครับ